อะไรคืออุปสรรคของการเติบโตของเถ้าแก่น้อย

อะไรคืออุปสรรคของการเติบโตของเถ้าแก่น้อย

TKN หรือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) คือ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายอาหาร เจ้าของแบรนด์ เถ้าแก่น้อย ขนมชื่อดังของประเทศไทย TKN ถือเป็นหุ้นขวัญใจมหาชนของนักลงทุนไทยมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 แต่ช่วงหลังมา เถ้าแก่น้อยมีปัญหาเรื่องการเติบโตของกำไร อะไรคืออุปสรรคของการเติบโตของเถ้าแก่น้อย

   สรุป ตัวเลขงบการเงินของ TKN ที่นักลงทุนควรรู้

   รายได้รวม เติบโต 1.2%

 รายได้ภายในประเทศเติบโต 4.6%

รายได้ภายนอกประเทศ ลดลง 2.2%

   ต้นทุนขาย เพิ่มขึ้น 2.7%

 ค่าใช้จ่ายในการขาย เพิ่มขึ้น 32.5%

 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้น 9.0%

กำไรสุทธิ ลดลง 36.1%

  TKN ยังคงเจอประเด็นปัญหาอยู่หลายอย่าง โดยมีประเด็นสำคัญที่กดดันกำไรของเถ้าแก่น้อย ดังนี้

   1 ปัญหาการเปลี่ยนผู้จัดจำหน่ายในประเทศจีน

   จากปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบในประเทศจีนที่ทำให้ TKN จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้จัดจำหน่าย (เพราะผู้จัดจำหน่ายเลียนแบบ TKN เสียเอง) ซึ่งตรงนี้ส่งผลค่อนข้างมากกับบริษัท ทั้งในแง่ของยอดขายที่ยังไม่สามารถดันขึ้นมาชดเชยยอดขายจากผู้จัดจำหน่ายเก่าได้ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่น่าจะบวมขึ้นจากค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วยส่วนหนึ่ง

2 ขยายไลน์สินค้าใหม่ แต่รายได้ยังโตตามไม่ทัน

   ในช่วงนี้ TKN มีการเปิดตัวสินค้าใหม่หลายอย่างทั้งในไทยและในจีน รวมไปถึงร้านอาหารใหม่ในเครือด้วย เช่น ปลาหมึกแผ่นปรุงรสไข่เค็ม ทินเท็น และ ร้านข้าวแกงกะหรี่ ฮิโนยะ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดจึงสูงมากเพื่อผลักดันสินค้าใหม่ แต่รายได้จากสินค้ากลุ่มนี้ยังโตตามไม่ทันที่จะมาครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางการตลาด ผลจึงเห็นได้ว่า ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงมาก และเป็นประเด็นสำคัญในการกดดันกำไร

   3 นักท่องเที่ยวจีนลดลง

   ปัจจัยกระทบที่เห็นผลสำคัญอีกอย่างในปีนี้ คือ นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยยะ ตรงนี้ย่อมส่งผลต่องบการเงินไม่น้อย เนื่องจากลูกค้าชาวจีนที่นิยมซื้อสาหร่ายกลับบ้าน กลุ่มนี้นิยมซื้อจำนวนมาก และการใช้ค่าการตลาดไม่สูง เมื่อนักท่องเที่ยวลดลง บริษัทจึงหันมากระตุ้นยอดขายในประเทศกับคนไทยแทน โดยการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตรงนี้เห็นค่อนข้างชัดว่า ต้องใช้งบการตลาดมากขึ้น กลายมาเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่กดดันกำไรมากขึ้นนั่นเอง   เอาใจช่วยให้ปัญหาผู้กระจายสินค้าในจีนแก้ไขได้ในเร็ววัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังอยากเห็นสินค้าไทยอยู่ในตลาดโลกอยู่ดี

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก