5 ตระกูลใหญ่ กับการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ
บทความ :สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด 5 ตระกูลใหญ่ กับการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่เป็นที่หมายปองหรือจับตามองของบริษัท หรือนักลงทุนที่มีเงินหรือรายได้ต่อเนื่องจากธุรกิจอื่นๆ เพราะนอกจากจะสามารถสร้างรายได้ทั้งแบบระยะสั้น เช่น โครงการที่อยู่อาศัยแบบขายทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รวมไปถึงการซื้อ-ขายที่ดิน และการสร้างรายได้แบบระยะยาว เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน ค้าปลีก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ เป็นต้น ซึ่งแบบระยะยาวนี้เป็นการสร้างโครงการขึ้นมาเพื่อเก็บรายได้ระยะยาว
อีกทั้งยังเป็นการสร้างหรือสะสมอสังหาริมทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีช่องทางในการขายอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ออกไปเพื่อระดมทุนหรือนำเงินทุนที่ลงทุนก่อสร้างไว้กลับมาได้โดยการขายเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กองรีท” ซึ่งเป็นรูปแบบการขายออกทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการหรือบริษัทจำนวนมากนิยมใช้กันในปัจจุบัน
บริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ซึ่งก่อตั้งและบริหารโดยครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งจนมีความเจริญเติบโต และขยายกิจการออกมาใหญ่โตครอบคลุมธุรกิจหลายประเภทจนครอบคลุมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน และอีกหลายประเทศประเทศด้วย
หลายๆ ตระกูลมีการขยายขอบเขตการทำธุรกิจเข้ามาครอบคลุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นานแล้วส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่ช่วงก่อนปีพ.ศ.2540 ซึ่งอาจจะมีบางรายที่ชะลอธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปเพราะพิษเศรษฐกิจในช่วงหลังจากปีพ.ศ.2540 แต่บางรายก็อาศัยจังหวะที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเข้ามากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แล้วต่อยอดพัฒนาขึ้นมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน เพราะพวกเขามีเงินสดที่ได้จากการขายสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันซึ่งสร้างรายได้มหาศาลแบบรายวัน บริษัทขนาดใหญ่ที่ทุกคนรับรู้ว่าเป็นของตระกูลหรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งซึ่งมีธุรกิจครอบคลุมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีไม่มากนัก ได้แก่
1. กลุ่มซีพี (เครือเจริญโภคภัณฑ์) หรือตระกูลเจียรวนนท์
บริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มครอบคลุมทั้งประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก อีกทั้งมีที่ดินเพื่อการเกษตรอีกมากมายทั่วประเทศไทย มีส่วนที่เกี่ยวข้องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานานแล้ว มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านจัดสรร และโครงการคอนโดมิเนียมมายาวนาน เพียงแต่มีการรับรู้ในวงไม่กว้างนัก กลุ่มซีพีใช้บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือในการพัฒนาโครงการประเภทนี้ รวมไปถึงอาคารสำนักงานที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดทั้งหมด นอกจากนี้กลุ่มซีพียังมีโรงแรม ธุรกิจค้าปลีก นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์ประชุม ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ในกกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ ในธุรกิจค้าปลัก ซีพี ยังเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายในธุรกิจค้าปลีกครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด รวมไปถึงในประเทศเพื่อนบ้านและอีกหลายประเทศทั่วโลก เพราะกลุ่มซีพีมีร้านเซเว่นอีเลฟเว่นซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั้งประเทศไทย เป็นเจ้าของแม็คโคร และล่าสุดก็โลตัส นอกจากนี้ยังมีธุรกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมในชื่อบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในด้านอสังหาริมทรัพย์นั้นกลุ่มซีพีจะเน้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีกเพราะพวกเขาเป็นต้นทางในการผลิตสินค้าบริโภคขนาดใหญ่ของประเทศไทย
การมีธุรกิจค้าปลีกทุกประเภทเป็นของตนเองจึงเป็นการมีแหล่งกระจายสินค้าเข้าถึงกลุ่มคนซื้อได้แบบครอบคลุมมากที่สุด กลุ่มซีพียังมีที่ดินที่ไม่ได้พัฒนาหรือเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรจำนวนมาก การที่กลุ่มซีพีได้สัมปทานการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเท่ากับที่ดินในมือพวกเขาอีกจำนวนมากกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ยังไม่รวมโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นบนที่ดินที่พวกเขาได้สิทธิ์ในการพัฒนาอย่างที่ดินมักกะสัน ดังนั้น กลุ่มซีพีมีโครงการอสังหาริมทรัพย์
บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ไม่ได้อยู่ในฐานะบริษัทในเครือหรือบริษัทลูกของกลุ่มซีพี แต่การที่ผู้บริหารสูงสุดหรือเจ้าของบริษัทนั้นเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับกลุ่มซีพีจึงถูกมองว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็อาจจะพูดได้ว่า MQDC เป็นอีก 1 บริษัทที่ทำธุรกิจในด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร รวมไปถึงการซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศอีกหลายแห่งด้วย มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มซีพี
2. กลุ่มทีซีซี (ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น) หรือตระกูลสิริวัฒนภักดี
บริษัทขนาดใหญ่ที่มีกิจการครอบคุลมเครื่องดื่มทั้งแบบมีและไม่มีแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่ของประเทศไทยและในอาเซียน กลุ่มนี้คนอาจจะติดภาพลักษณ์ว่าเป็นบริษัทที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่จริงๆ แล้วกลุ่มทีซีซีมีกิจการหลายอย่างที่ครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค แต่สินค้าที่มีแอลกอฮอล์เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ของพวกเขา กลุ่มทีซีซีได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการควบรวมกิจการ เทกโอเวอร์บริษัท หรือกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพราะพวกเขาควบรวมกิจการด้านแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมาตั้งนานแล้วโดยครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลย
การเทกโอเวอร์หรือซื้อสังหาริมทรัพย์ก็มีให้เห็นมาตั้งนานแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากปีพ.ศ.2540 เป็นต้นมาที่พวกเขาซื้อบริษัท ซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทั้งโครงการที่สร้างเสร็จและเปิดกิจการอยู่ รวมไปถึงโครงการที่กำลังก่อสร้างหรือหยุดการก่อสร้างไปเพราะวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปีพ.ศ.2540 ซึ่งโครงการที่กลุ่มทีซีซีซื้อเข้ามานั้นมีทั้งที่ดินเปล่า อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม กลุ่มทีซีซีเป็นอีกกลุ่มบริษัทที่มีที่ดินเปล่าในครอบครองมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย
การเข้ามาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มทีซีซีเกิดขึ้นแบบชัดเจนในช่วงหลังจากปีพ.ศ.2540 เป็นต้นมา หลังจากที่พวกเขามีทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และมีการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าของตนเอง รวมไปถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่เกิดจากการร่วมทุนกับกลุ่มแคปปิตอลแลนด์จากสิงคโปร์ กลุ่มทีซีซีเข้ามายืนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบเต็มตัวมากขึ้นหลังจากที่พวกเขาเข้าเทกโอเวอร์บริษัท แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) แกรนด์ ยูนิตี ดีเวลลอปเมนท์ และบริษัทต่างประเทศอย่าง เฟรเซอร์แอนด์นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) ซึ่งนอกจากจะมีธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแล้ว กลุ่มเฟรเซอร์ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็น 1 ในธุรกิจสำคัญของพวกเขา
ทำให้กลุ่มทีซีซีมีอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ และเริ่มพัฒนาโครงการขนาดใหญ่อย่างวันแบงค็อก การเข้าซื้อบิ๊กซีจากกลุ่มคาสิโน และการขยายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านของ บีเจซีซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มทีซีซียิ่งเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้และศักยภาพของพวกเขาให้มากขึ้น การเข้าซื้อกิจการและเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาทำให้พวกเขามีอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นและเมื่อรวมกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พวกเขามีอยู่ก่อนแล้วก็มีผลให้พวกเขาเป็นอีก 1 กลุ่มที่มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมทุกประเภท อีกทั้งยังมีที่ดินขนาดใหญ่ที่รอการพัฒนาอีกหลายแปลงทั้งที่เกษตร-นวมินทร์ และชะอำ ล่าสุดกลุ่มทีซีซีก่อตั้งบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ขึ้นมาเพื่อบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์บางส่วนในกลุ่มทีซีซีซึ่งมีทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน ค้าปลีก และเป็นบริษัทที่น่าจับตามองในอนาคต เพราะเชื่อว่าจะมีการถ่ายโอนอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มทีซีซีเข้ามาที่บริษัทนี้มากขึ้น อีกทั้งยัง จะมีการซื้ออสังหาริมทรัพย์เข้ามาในครอบครองต่อเนื่องแน่นอน เพราะมีงบประมาณพร้อมอยู่แล้ว
3. กลุ่มเซ็นทรัลหรือตระกูลจิราธิวัฒน์ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยตระกูลจิราธิวัฒน์น่าจะเป็นตระกูลใหญ่ที่สุดในธุรกิจนี้ เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของโครงการค้าปลีกที่อยู่ภายใต้แบรนด์เซ็นทรัลทั้งหมดรวมไปถึงโรบินสัน ท็อปส์ขนาดต่างๆ และร้านอาหารอื่นๆ อีกหลากหลายแบรนด์ อีกทั้งยังมีโรงแรมในเครือเซ็นทาราทั่วประเทศ และศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมในอีกหลายประเทศทั่วโลก เป็นกลุ่มธุรกิจที่บริหารกิจการโดยคนในครอบครัวและขยายกิจการใหญ่โตของประเทศไทย
กลุ่มเซ็นทรัลเริ่มต้นกิจการของตนเองจากธุรกิจค้าปลีกซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า ก่อนที่จะต่อยอดไปยังอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานคร และโรงแรมทั่วประเทศ ก่อนที่จะขยายไปซื้อห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และโรงแรมรวมไปถึงการเข้าไปร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก กลุ่มเซ็นทรัลเริ่มขยับเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแบบชัดเจนในปีพ.ศ.2559 หลังจากที่เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดเชียงใหม่ ระยอง และขอนแก่น อีกในไตรมาสที่ 1 จากนั้นมีอีกหลายโครงการคอนโดมิเนียมในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยโครงการคอนโดมิเนียมของกลุ่มเซ็นทรัลจะอยู่ในทำเลรอบๆ ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าของเครือเซ็นทรัล จากนั้นกลุ่มเซ็นทรัลมีการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรโดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า “นิยาม” และ “นินญา” ซึ่งทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมพัฒนาโดยบริษัท ซีพีเอ็น เรสซิเดนซ์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีโครงการครอบคลุมในหลายทำเลทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
การก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกก้าวสำคัญของกลุ่ม เซ็นทรัลคือ การเข้าเทกโอเวอร์บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มจีแลนด์ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลได้โครงการอสังหาริมทรัพย์ และที่ดินของกลุ่มจีแลนด์เข้ามาในกลุ่มอีกหลายโครงการทั้งโครงการอาคารสำนักงาน บ้านจัดสรร และที่ดินเปล่า ซึ่งที่ดินเปล่าที่กลุ่มเซ็นทรัลได้มานั้นทำให้ได้รับการจับตามองมาก เนื่องจากเป็นที่ขนาดใหญ่ตรงสี่แยกถนนพระราม 9 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเคยเป็นของกลุ่มจีแลนด์ แม้ว่าจะพัฒนาไปแล้วแต่ด้วยที่ขนาดใหญ่กว่า 70 ไร่ทำให้ยังมีที่ดินเหลือรอการพัฒนาอีกในอนาคต และที่ดินขนาด 48 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างแยกรัชโยธินและห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลได้มาจากการเทกโอเวอร์จีแลนด์ และการซื้อหุ้นอีก 50% ในบริษัท เบย์วอเตอร์ จำกัด จากบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ทำให้เซ็นทรัลได้ที่ดินทั้งแปลงมาเป็นกรรมสิทธิ์
4. กลุ่มสิงห์ หรือตระกูลภิรมย์ภักดี
บริษัทที่มีรายได้หลักจากการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำดื่มรายใหญ่ของประเทศไทย ก่อนที่จะขยายธุรกิจออกมาครอบคลุมธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีธุรกิจอสังหารมิทรัพย์แบบชัดเจน เป็นเพียงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทเท่านั้น ทั้งการเข้าซื้อกิจการโรงงานต่างๆ ก็เป็นการต่อยอดจากธุรกิจที่มีอยู่ทั้งสิ้น
การเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มสิงห์สามารถเห็นได้ชัดเจนเมื่อพวกเขาเข้าเทกโอเวอร์บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในปีพ.ศ.2557 จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) และหลังจากนั้นกลุ่มสิงห์ก็เริ่มพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อบริษัท สิงห์เอสเตท จำกัด (มหาชน) ออกมาต่อเนื่องรวมไปถึงโครงการที่ได้จากการเทกโอเวอร์รสาบางส่วน โดยโครงการที่เกิดขึ้นหลังจากนี้มีทั้งโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า (ขนาดเล็ก) นอกจากนี้กลุ่มสิงห์ยังเข้าเทกโอเวอร์หรือเข้าซื้อกิจการที่เป็นเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์อีกหลายแห่งต่อเนื่องกัน ซึ่งมีผลให้พวกเขาเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานเพิ่มเติม และยังมีการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานใหม่ของพวกเขาเองอีกด้วย
นอกจากนี้ในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยก็มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมออกมาต่อเนื่องทั้งในระดับราคาแพง และระดับกลาง รวมไปถึงโครงการบ้านจัดสรรราคาแพงในกรุงเทพมหานครอีกด้วย การเข้าซื้อกิจการโรงแรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นอีก 1 รูปแบบธุรกิจที่พวกเขาดำเนินการต่อเนื่องหลังจากที่เริ่มดำเนินกิจการ โดยในติอนนี้พวกเขามีโรงแรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศรวมทั้งหมด 39 แห่ง ภายใต้การบริหารโดยบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด มหาชน กลุ่มสิงห์อาจจะเป็นกลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนค่อนข้างชัดเจนในธุรกิจโรงแรม คอนโดมิเนียม และอาคารสำนักงาน อีกทั้งยังมีทิศทางในอนาคตที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะขยายการลงทุนเพิ่มต่อไป
5. กลุ่มบีทีเอสหรือตระกูลกาญจนพาสน์
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ คุณคีรี กาญจนพาสน์ เป็นบริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว เส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางแรกของประเทศไทยโดยก่อนหน้านี้พวกเขาใช้ชื่อว่า บริษัท ธนายง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาโครงการธนาซิตี้ โครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่บนถนนบางนา-ตราด ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ในปี
พ.ศ.2553 บริษัทนี้มี 4 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการ และธุรกิจพัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ
ธุรกิจพัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศซึ่งเป็น 1 ใน 4 ธุรกิจหลักของกลุ่มบีทีเอส ดำเนินการโดยบริษัท ยูซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อนหน้านี้คือ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้ามาอยู่ภายใต้กลุ่มบีทีเอสในปีพ.ศ.2558 และมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารและพัฒนาของยูซิตี้หลายโครงการทั้งโครงการโรงแรมในประเทศไทยและต่างประเทศ อาคารสำนักงานที่เปิดให้บริการมานานแล้ว และที่กำลังก่อสร้างใหม่ รวมไปถึงโครงการที่อยู่อาศัยที่กลุ่มบีทีเอส โดยบริษัทยูซิตี้ จำกัด (มหาชน) เข้าไปร่วมทุนพัฒนาด้วยทั้งกับบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการที่พัฒนาร่วมกัน การเข้าซื้อหุ้นบางส่วนในบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เพื่อต่อยอดพัฒนาโครงการขนาดใหย่ร่วมกันแถวบางนา - ตราด
บริษัท ยูซิตี้ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมทุนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 4 โครงการในปีพ.ศ.2564 รวมไปถึงการเข้าซื้ออาคารสำนักงานของโนเบิลก่อนห้านี้ด้วย และอาจจะมีอีกหลายโครงการใน
อนาคต นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซที่ร่วมทุนกับฮ่องกงอีกด้วย
ถ้าพิจารณาเป็นตระกูลแล้ว ตระกูลกาญจนพาสน์ยังมีอีก 1 ฝั่งที่ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มายาวนาน คือ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นของคุณอนันต์ กาญจนพาสน์ ผู้พัฒนาโครงการเมืองทองธานี และอิมแพ็ค เมืองทองธานีในปัจจุบัน พื้นที่ครอบคลุมกว่า 4,000 ไร่ มีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ศูนย์แสดงสินค้า โรงแรม สนามกีฬา โรงแรม ทิศทางของเมืองทองธานีกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหลังจากหมดคิวด-19 น่าจะมีการขยายตัวต่อเนื่องอีก เพราะมีเส้นทางรถไฟฟ้าต่อขยายจากสายสีชมพูเข้ามาในเมืองทองธานีอีก 2 สถานี
ทั้ง 5 กลุ่มบริษัท 5 ตระกูลก็ครอบคลุมุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยไปได้ไม่น้อยแล้วในปัจจุบัน ยังมีตระกูลอื่นๆ ที่อาจจะยังมี่ชัดเจนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น ตระกูลโชควัฒนากลุ่มสหพัฒน์ที่มีการลงทุนทั้งโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ คอมมูนิตี้มอลล์ที่ศรีราชา ตระกูลมหากิจศิริที่เริ่มขยับเข้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นมีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการโดยใช้บริษัท เดอะ เนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งได้รุ่นลูกของตระกูลมาเป็นผู้บริหาร ซึ่งถ้าทิศทางของทั้ง 2 ตระกูลนี้ชัดเจนและต่อเนื่อง รวมไปถึงตระกูลอื่นๆ ถ้ามีการขยับขยายเข้ามรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบชัดเจนก็อาจจะมาตามกันต่อเนื่องในอนาคต
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมุลจาก