TU งบ 3Q จ่อขาดทุนธุรกิจแซลมอน – มาร์จิ้นทูน่าหด
หุ้น “ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” (TU) เจ้าของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ระดับโลก เผชิญแรงขายส่งท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความกังวลงบไตรมาส 3 ชะลอตัว เพราะการกลับมาขาดทุนของธุรกิจแซลมอน รวมทั้งธุรกิจทูน่าที่รับจ้างผลิตมีมาร์จิ้นลด
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองในทิศทางเดียวกันถึงผลกระทบด้านราคาวัตถุดิบผันผวนสูง ฉุดผลกำไรในไตรมาสนี้
เริ่มต้นด้วยโบรกเกอร์ “บัวหลวง” ที่คาดกำไรหลัก (ไม่รวม Fx gain และรายการพิเศษอื่นๆ) จะอยู่ที่ 1.52 พันล้านบาท ลดลง 14% จากงวดเดียวกันปีก่อน แต่ยังเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาส 2 โดยกำไรหลักที่ลดลงจากปีก่อนมีเหตุผลมาจาก:
* การพลิกกลับมาเป็นขาดทุนสุทธิของธุรกิจแซลมอน จากราคาปลาแซลมอนที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด
* มาร์จิ้นของธุรกิจทูน่ารับจ้างผลิตที่ลดลง จากราคาปลาทูน่าเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.
* มาร์จิ้นของธุรกิจกุ้งส่งออกไทยที่ลดลง จากราคากุ้งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาส 3
* และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของพนักงานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับศูนย์วิจัย
อย่างไรก็ดี มาร์จิ้นของธุรกิจทูน่าแบรนด์ของ MWB ยังคงแข็งแกร่ง และมาร์จิ้นธุรกิจทูน่าของชิคเก้นออฟเดอะซีและธุรกิจเทรดดิ้งกุ้งของชิคเก้นออฟเดอะซีโฟรเซ่นฟู้ดที่ยังคงเพิ่มขึ้น เข้ามาช่วยหนุนให้กำไรหลักยังเพิ่มขึ้นได้จากไตรมาส 2 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นและผลขาดทุนสุทธิจากธุรกิจแซลมอนที่ลดลง (ราคาปลาแซลมอนลดลงอย่างมาก)
“บัวหลวง” ให้เป้าหมายพื้นฐาน TU ที่ 26.00 บาท
ด้าน “เคทีบี (ประเทศไทย)” คาดกำไรไตรมาส 3 ของ TU จะน่าผิดหวังเนื่องจากราคาวัตถุดิบทูน่าปรับตัวลงแรงจากฐานสูงในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วง High Season แต่ความสามารถทำกำไรกลับลดลงชั่วคราวในธุรกิจ OEM เพราะรับผลกระทบสต๊อกที่มาในราคาสูง
ส่วนธุรกิจแซลมอนที่เคยมีปัญหาราคาวัตถุดิบสูงผิดปกติ นักวิเคราะห์คาดปัจจุบันได้ผ่านพ้นจุดย่ำแย่ไปแล้ว ขณะที่ด้าน ธุรกิจซาร์ดีนและแมคเคอเรลยังเติบโตได้ดีจากการควบรวม “Rugen Fish” แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่อาจผลักดันกำไรในไตรมาส 3 ให้เติบโตได้
โดยในเบื้องต้น โบรกเกอร์รายนี้คาดกำไร TU จะอยู่ที่ 1.33 พันล้านบาท ติดลบ 12.30% Q/Q และติดลบ 17.6% Y/Y ซึ่งถ้าหากกำไรไตรมาส 3 ออกมาตามคาด ฝ่ายวิจัยฯ อาจต้องปรับลดประมาณการปีนี้ลงอีกครั้ง จากกำไรทั้งปีที่คาด 5.98 พันล้านบาท โดยต้องจับตากำไรที่อาจถูกหนุนจากการบันทึกกำไรอัตราแลกเปลี่ยนตามการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา
“เคทีบีฯ” คงราคาพื้นฐาน TU ที่ 22.80 บาท พร้อมแนะนำ “ถือ” เพราะเชื่อว่าในปีหน้าราคาวัตถุดิบจะกลับมาเป็นปกติมากขึ้น ขณะในระยะยาว TU ถือว่าเป็นหุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจ ล่าสุดเพิ่งเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 18% ในบริษัท Chicken of the sea ด้วยเงินลงทุนกว่า 1.6 พันล้านบาท ทำให้บริษัทฯ เข้าถือหุ้นทั้ง 100% ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าจะช่วยให้กำไรเพิ่มขึ้นอีกปีละ 200-400 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะมี Upside เพิ่มอีกจากการขยายตลาดและนโยบายเข้าซื้อกิจการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
มาที่ค่าย “ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)” ให้ราคาพื้นฐาน 23.80 บาท นักวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 3 จะต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ปรับลดประมาณการ EPS ในปีนี้ลง 12% แต่ในปี 2560-61 ปรับเพิ่ม EPS เพิ่มขึ้นอีกปีละ 2% จากผลควบรวมกิจการใน Chicken of the sea ที่เพิ่มการซื้อหุ้นในอีกสัดส่วนราว 18%
ส่วนโบรกเกอร์ “ดีบีเอส วิคเคอร์ส” มีมุมมองเป็นบวกในระยะยาวสำหรับหุ้น TU แม้ในช่วงสั้นนี้จะโดนผลกระทบจากงบไตรมาส 3 ที่อ่อนตัวลง แต่ในระยะยาวมองว่า TU มีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน ดังนั้น การอ่อนตัวลงของราคาหุ้นช่วงนี้จึงเป็นโอกาสซื้อลงทุน
“ดีบีเอสฯ” ให้ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท
บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าเมื่อวันที่ 30 ก.ย.59 บริษัทได้มาซึ่งหุ้นส่วนที่เหลืออีก 18% ในบริษัท Tri-Union Frozen Products, Inc. (TUFP) โดยมีมูลค่าราว 1.6 พันล้านบาท
TUFP ประกอบธุรกิจภายใต้ชื่อ Chicken of the Sea Frozen Foods ในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ TU ถือหุ้นใน TUFP ทั้ง 100%
บริษัทฯ ระบุการซื้อหุ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทฯ ที่จะรวมส่วนได้เสียของบริษัทในบริษัทย่อยทั้งหมดทั่วโลก เพื่อให้บริษัทสามารถควบคุมและบริหารจัดการกลุ่มบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้บริษัทสามารถพัฒนาและบริหารจัดการกลยุทธ์ วิสัยทัศน์องค์กร เป้าหมาย และค่านิยมองค์กรของกลุ่มบริษัทให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันได้ดียิ่งขึ้น
TUFP เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกาโดยมีกุ้งล็อบสเตอร์ และเนื้อปูพาสเจอไรซ์เป็นสินค้าหลักสำนักงานใหญ่ ของ TUFP อยู่ที่ El Segundo มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
*********************************
ทีม Business&Finance , Money Channel