ความสัมพันธ์ระหว่าง “ราคา” กับ “วอลุ่ม”
ปริมาณการซื้อขาย หรือ วอลุ่ม เปรียบได้กับพลังของ “อุปสงค์” (Demand) และ “อุปทาน” (supply) ที่มีผลต่อการกำหนดทิศทางของราคาหุ้น จะมีแนวโน้มสูงขึ้น หรือ ลดลง ด้วยพลังจากแรงส่งนี้ เมื่อความต้องการซื้อมีมากกว่าความต้องการขาย ราคาย่อมจะสูงขึ้น และถ้าความต้องการขายมีมากกว่า ราคาหุ้นก็ย่อมลดต่ำลง
การสังเกตจากปริมาณการซื้อขายเปลี่ยนมือมีความสำคัญในการพิจารณาควบคู่ไปกับกราฟราคา วอลุ่มที่เกิดขึ้นในขณะที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น เราเรียกว่า “Demand Volume” ถ้าราคาและปริมาณเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการชี้ว่า อาจเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish)
ขณะที่ หากวอลุ่มที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นในขณะที่ราคาหุ้นลดต่ำลง เราเรียกว่า “Supply Volume” ถ้าราคา และปริมาณเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการชี้ว่า อาจเป็นแนวโน้มขาลง (Bearish)
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราจะนำความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นกับวอลุ่มนี้มาช่วยในการ “สนับสนุน” แนวโน้มราคา หรืออาจจะนำมาใช้เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าแนวโน้มของราคา ใกล้ที่จะเปลี่ยนทิศทางหรือยัง แต่สาระสำคัญในการพิจารณาประกอบกับสัญญาณทางเทคนิค จะให้น้ำหนักมากกับการ “ทะลุผ่าน” (Breakout) เป็นสำคัญ เป็นการชี้ให้เห็นว่าพลังผลักดันของแนวโน้ม “ขึ้น” หรือ “ลง” มีพลังส่งที่สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจะมีหลักเกณฑ์ในการสังเกตความสัมพันธ์ระหว่าง “ราคาหุ้น” กับ “วอลุ่ม” ดังนี้
ความสัมพันธ์ในแง่บวก
1.เมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อนและปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ปรับตัวสูงขึ้นตาม จะเป็นการสนับสนุนการขึ้นของราคาหุ้น
2.เมื่อราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นมาช่วงหนึ่ง ต่อมามีการปรับตัวลดลง (ทางเทคนิค) ให้สังเกตปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ถ้าปรับตัวลดลงตามด้วย จะแสดงถึงการลดลงชั่วคราวของราคาก่อนที่จะมีการ “ดีดกลับ” ของราคาอีกครั้ง
3. การขายอย่างตื่นตระหนก (Panic Selling) ถ้าเกิดขึ้นจากราคาที่ลดต่ำลงมาแล้วเป็นระยะเวลาพอสมควร และต่อมาราคามีลักษณะเร่งการ “ตกดิ่งลง” อย่างรุนแรงในขณะที่ “วอลุ่ม” กลับเพิ่มมากขึ้น ในทางเทคนิคเราเรียกว่า “วิกฤตการขาย” (Selling Climax) นี้คือจุดจบของแนวโน้มขาลง หรื “Bear Market”
ความสัมพันธ์ในแง่ลบ
1.เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน แต่ปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) กลับลดลง จะเป็นสัญญาณ “ค้าน” การขึ้นของราคา
2.เมื่อราคาลดลงมาแล้วช่วงหนึ่ง ต่อมามีการปรับตัวขึ้น(ทางเทคนิค) ให้สังเกตปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม) หากลดลงสวนทางการเพิ่มขึ้นของราคา จะเป็นสัญญาณลบ และบ่งชี้ว่าในไม่ช้าจะมีการปรับตัวลดลงของราคาอีกครั้งหนึ่ง
3.เมื่อราคาวิ่งขึ้นกลับไปที่จุดสูงสุดเก่า แต่ปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม) มีไม่มากพอ (วอลุ่มไม่หนุน) เป็นสัญญาณเตือนในทางลบ
4.ถ้าราคาสูงขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน และถ้ามาถึงจุดหนึ่งที่ราคาขยับขึ้นเล็กน้อย แต่วอลุ่มกลับยังคงสูงมาก เป็นสัญญาณเตือนว่ามีการระบายหุ้นออกในลักษณะ “โยนหุ้น” เกิดขึ้น หรือมีการซื้อขายกันระหว่างกลุ่ม เพื่อไม่ให้ราคาตก สํญญาณนี้จะบอกว่าในไม่ช้าจะมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นมาเป็นแนวโน้มขาลง
5.เมื่อราคากับวอลุ่มไปด้วยกันช้าๆ จนถึงระดับหนึ่งแล้วราคาหุ้นกลับทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามีวอลุ่มเพิ่มขึ้นสูงมากผิดปกติ และหลังจากนั้นราคาเริ่มลดต่ำลง จะถือว่า ณ จุดนั้น เป็นการเปลี่ยนแนวโน้มจากขึ้นเป็นลง การตกลงของราคาจะรุนแรงเพียงใด ขึ้นอยู่กับระดับของราคาและขนาดของวอลุ่มที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..หนังสือ 16 สูตรสำเร็จรวยด้วยหุ้น