ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตี๋โบ๊โผล่หัวคุย

โดย Turbo
เผยแพร่ :
65 views

บล.ทิสโก้ เปิดชื่อหุ้นปันผลเด่นปี 63
แนะซื้อผลตอบแทนสูงกว่าตลาด 4%

9 ธ.ค. 63 - บล.ทิสโก้ชี้เงิน LTF และ RMF อาจเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าคาด หลังปัจจัยลบรุมเร้า แนะอาศัยจังหวะหุ้นไทยย่อตัวทยอยซื้อหุ้นปันผลเด่นเข้าพอร์ต กางสถิติในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. ของทุกปี หุ้นปันผลให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดประมาณ 4%

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ประเมินว่าเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะไหลเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าที่คาด หลังภาวะเศรษฐกิจยังส่งสัญญาณอ่อนแอต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนระมัดระวังการใช้จ่าย รวมถึงระมัดระวังเรื่องการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับรูปแบบการออกกองทุนรวมใหม่ที่จะมาทดแทน LTF มีความล่าช้า อาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินไหลเข้าในปีนี้
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะมีเงิน LTF เข้าซื้อหุ้นไทยประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะมีเงินเข้าซื้อที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ RMF คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าเพียง 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะยังคงย่ำแย่อยู่ แต่บล.ทิสโก้มองว่าในช่วงที่หุ้นไทยย่อตัวนี้ เป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าซื้อหุ้นปันผล เพราะจากการศึกษาความเคลื่อนไหวหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง โดยใช้ดัชนี SETHD TRI (ย่อมาจาก SET High Dividend Total Return Index) ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นพื้นฐานดีที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง 30 ตัวแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่รวมผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นและเงินปันผลแล้ว เปรียบเทียบกับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม (SET TRI) พบว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี หุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนรวมดีกว่าตลาดประมาณ 4%

“ผลตอบแทนจากเงินปันผลถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยนอกจากจะชนะอัตราเงินเฟ้อแล้ว ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยทั้งในประเทศ และต่างประเทศก็อยู่ในระดับต่ำมาก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของไทย และสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 1.7% และ 1.8% ตามลำดับ นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นต่างประเทศ พบว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของหุ้นไทยอยู่ในระดับกลางถึงค่อนข้างสูง โดยตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 3.1% ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศมักจะมีผลตอบแทนจากเงินปันผลโดยเฉลี่ยราว 2.8%” นายอภิชาติกล่าว

สำหรับหุ้นปันผลเด่นแนะนำของปี 2563 เรียงลำดับตามผลตอบแทนที่คาดว่าบริษัทเหล่านี้จะจ่ายเงินปันผลปี 2563 จากมากไปหาน้อย ได้แก่ KKP, TVO, AP, QH, MAJOR, SCB, SCC และ BBL ซึ่งหุ้นแต่ละตัวที่บล.ทิสโก้คัดเลือกมานั้น นอกจากจะพิจารณาจากหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังพิจารณาในแง่ของโอกาสที่ราคาหุ้นแต่ละตัวจะปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันด้วย เพื่อให้นักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของเงินปันผล และส่วนต่างราคาหุ้น
ส่วนหุ้นแนะนำในเดือนธันวาคมจะเน้นเลือกหุ้นขนาดใหญ่ (Selective Buy) ที่มีประเด็นการลงทุนเด่นอย่างชัดเจน ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องซื้อขายสูงที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของเม็ดเงิน LTF & RMF แนะนำ CPALL, MINT, SCB และ SCC หุ้นปันผลที่อยู่ใน SETHD Index ที่มักปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า แนะนำ AP, KKP, SCB และ SCC และ หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 Index แนะนำ VGI โดยสรุป หุ้นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน ธันวาคม 2562 คือ AP, CPALL, KKP, MINT, SCB, SCC และ VGI

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน และ ชุดสูท
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
 

สร้างวินัยการออมผ่านกองทุน SSF

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไป ดังนั้น ผู้ถือหน่วยจะไม่สามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีก แต่การยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีครั้งนี้ไม่ได้เป็นการยกเลิกกองทุนที่มีอยู่ ดังนั้น ผู้ถือหน่วย LTF ยังคงลงทุนในกองทุนดังกล่าวต่อไปได้

ยกเลิกสิทธิภาษี แต่ยังต้องถือ LTF ให้ครบเงื่อนไข

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 รัฐบาลมีนโยบายในการจัดตั้ง LTF และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน โดยมีเงื่อนไขที่จะต้องถือครองหน่วยลงทุนให้ครบ 5 ปีปฏิทิน -ในปี 2559 รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีจนถึงปี 2562 และปรับปรุงเงื่อนไขการถือครองเป็น 7 ปีปฏิทิน

ดังนั้น ผู้ถือหน่วยที่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไปแล้ว ยังจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขการถือครองให้ครบ 5 ปีปฏิทิน หรือ 7 ปีปฏิทินแล้วแต่กรณี (เช่น หน่วยลงทุนที่ซื้อในปี 2559 จะสามารถขายได้ในปี 2565)โดยหากขายหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดจะทำให้เสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับไปแล้ว และต้องปฏิบัติ ดังนี้

1. นำเงินภาษีทั้งหมดที่ได้รับการยกเว้นไปคืนให้กับสรรพากร และเสียค่าปรับ 1.5% ต่อเดือน (นับตั้งแต่เดือนที่ได้คืนภาษีจนถึงเดือนที่นำภาษีไปคืน) และ

2. หากมีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน ต้องนำเงินกำไรที่ได้ไปรวมคำนวณเป็นเงินได้ในปีที่ขายคืน เพื่อเสียภาษีเงินได้ (ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องเสียภาษี)

LTF ในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 3.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.3% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) โดยมีปริมาณเงินเข้ากอง LTF เฉลี่ยต่อปี 2.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.15% ของ market cap

กองใหม่ SSF ได้สิทธิลดหย่อนวงเดียวกับการลงทุนเพื่อการเกษียณ

สิทธิลดหย่อนภาษีของ LTF จะหมดไป แต่รัฐบาลมอบ “ของขวัญ” กล่องใหม่มาแทนที่ นั่นคือ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) เพื่อส่งเสริมการออมสำหรับทุกคนรวมถึงผู้เริ่มต้นทำงาน กองทุนใหม่นี้มีนโยบายลงทุนที่หลากหลายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หุ้นเท่านั้น จึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน รวมทั้งไม่ได้กำหนดให้ต้องลงทุนต่อเนื่อง จึงมีความยืดหยุ่นสำหรับผู้ลงทุนที่อาจมีเงินออมไม่แน่นอน โดยผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนให้ครบ 10 ปี (นับวันชนวัน) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีกอง SSF ออกมาเสนอขายในต้นปี 2563

ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของ SSF ได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยจะถูกนับรวมอยู่ในวงเดียวกับการลงทุนเพื่อการเกษียณ (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันแบบบำนาญ เป็นต้น) ที่กำหนดวงเงินรวมสูงสุดต้องไม่เกิน 500,000 บาท ตัวอย่างเช่น เงินได้ 50,000 บาทต่อเดือน รายได้ต่อปีคือ 600,000 บาทลงทุนใน SSF ได้ 600,000 x 30% = 180,000 บาท

การปรับปรุงสิทธิลดหย่อน RMF

รัฐบาลได้ขยายเพดานการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF จากเดิม 15% เป็น 30% ของเงินได้พึงประเมิน ทำให้ผู้มีรายได้ที่มีศักยภาพสามารถออมได้มากขึ้น ตัวอย่าง เงินได้ 50,000 บาทต่อเดือน รายได้ต่อปี คือ 600,000 บาทลงทุนใน RMF เดิมได้ 600,000 x 15% = 90,000 บาท ใหม่ได้ 600,000 x 30% = 180,000 บาท และเมื่อรวมกับ SSF ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ถึง 360,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้ยกเลิกเงินลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท แต่ผู้ลงทุนยังคงต้องมีการลงทุนต่อเนื่องทุกปี (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี ติดต่อกัน)

ความสำเร็จในการสร้างวินัยการออมของประชาชนผ่านการลงทุนในครั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่มองเห็นโอกาสอันดีเพื่อช่วยกันสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคงให้แก่คนในชาติของเรา

โดย นางสาวจอมขวัญ คงสกุล
CFA CAIA ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทีมโฆษก และฝ่ายนโยบายธุรกิจจัดการลงทุน

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม, ภาพระยะใกล้
 
 
 

Turbo