บล.กสิกร เปิด11หุ้นเด่น ปัจจัยภายนอกหนุน SET ปีนี้ 1,775 จุด
บล.กสิกร ประเมินหุ้นไทยปิดที่ 1,775 จุดในสิ้นปี 62 ชี้สงครามการค้า และพันธบัตรขาขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้น พร้อมเปิดหุ้นเด่น MINT, CPALL, CPF, CK, STEC, KTB, SCB, TFFIF, AMATA, DTAC และTRUE
นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ยังคงมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ด้วยเป้าหมาย SET Index ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 1,775 จุด ซึ่งภาพรวมตลาดหุ้นยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว จึงคาดว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระยะสั้น ทั้งนี้แม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลง ขณะที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจะสูงขึ้น
แต่ยังคงกรอบซื้อขายระยะสั้นของ SET Index ที่ 1,660-1,760 จุด ซึ่งการที่ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นให้สูงกว่านี้ จะต้องมีปัจจัยเชิงบวกสำคัญที่จับต้องได้ เช่น ถ้อยแถลงที่สะท้อนนโยบายเชิงผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ที่บ่งชี้ถึงวัฎจักรการปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปี 62 หรือการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็น A- รวมไปถึงนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จับต้องได้จริง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยในประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่รุนแรงขึ้นจนอาจมีการดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งเชื่อว่าตลาดรับรู้ผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้นไปแล้ว โดยกลุ่มผู้ซื้อสินค้าที่พบว่าราคาสินค้าที่ปรับขึ้นกะทันหัน สามารถหาแหล่งสินค้าจากซัพพายเออร์อื่น ๆ ได้
ส่วนกลุ่มผู้ขายก็อาจต้องหาตลาดใหม่เพื่อจำหน่ายสินค้าของตน หรือย้ายฐานการผลิตหรือห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศอื่น แต่ยังมองว่าสถานะที่ลามไปถึงห่วงโซ่เทคโนโลยีของโลก จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกเรื่องคือ พันธบัตรของโลกที่พลิกมาเป็นขาขึ้น ซึ่งมองว่าการปรับตัวขึ้นของ SET Index ในช่วงหลัง เป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรล้วน ๆ จึงทำให้การพลิกผันของพันธบัตรมาเป็นขาขึ้น จะกลายเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นไทยให้กลับไปสู่จุดต่ำสุดที่ 1,600 ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ได้เพิ่ม MINT เข้ามาในรายชื่อหุ้นเด่นของเรา เพราะกิจการ NHH มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และมีการปรับเพิ่ม PE เมื่ออิงจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานไปยังปัจจัยภายนอก เราเชื่อว่ากลุ่มและหุ้นที่เราชอบจะสามารถต้านทานความผันผวนของตลาดหุ้นได้ เพราะกลุ่มหุ้นแต่ละบริษัทมีปัจจัยบวกที่ชัดเจน
สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำมีดังนี้
1.กลุ่มการบินและการท่องเที่ยว MINT เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่มนี้เพราะมีการเติบโตด้านกำไรต่อหุ้นที่แข็งแกร่ง ด้วยแรงหนุนจากธุรกิจ NHH และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง นอกจากนี้ยังมีการปรับเพิ่ม PE จากส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงแรมที่สูงขึ้น จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังของปี 62
2.กลุ่มพาณิชย์ CPALL กลุ่มพาณิชย์ยังเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบ เพราะเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล และมาตรการอื่น ๆ ที่อาจออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในต่างจังหวัด
3.กลุ่มธุรกิจเกษตร CPF ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีกำไรแข็งแกร่งในปี 62 โดยเลือก CPF เป็นหุ้นเด่นเนื่องจากราคาเนื้อสุกรที่แข็งแกร่งขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 62 หลังจากมีการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเวียดนาม
4.กลุ่มรับเหมางานโยธา CK, STEC จะได้ประโยชน์จากการเร่งประมูลโครงการภาครัฐภายใต้รัฐบาลชุดใหม่
5.กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ KTB, SCB กลุ่มธนาคารยังคงน่าสนใจ เพราะคาดว่าค่าใช้จ่ายต่อรายได้และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะปรับลดลงต่อเนื่อง ขณะที่การก่อตัวของหนี้เสียใหม่นั้นปรับลดลงท่าเทียบเป็นไตรมาสเป็นครั้งแรกนับแต่ไตรมาส 1 ปี 61
6.กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน TFFIF เป็นกลุ่มกองทุนที่น่าสนใจเพราะเป็นกองทุนที่มีอายุสัญญาเหลืออีก 29 ปี และยังมีกระแสรายได้ที่มั่นคง ความผันผวนต่ำ และยังมีโอกาสในการอัดฉีดสินทรัพย์ใหม่โดยรัฐบาลอีกด้วย
7.กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เพราะมีสถานะที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจาก FDI ที่สูงขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ และจากการย้ายฐานการผลิตจากจีน
8.กลุ่ม ICT (DTAC, TRUE) ยังคงมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่ม ICT เพราะคาดว่าตลาดจะมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อทิศทางการเติบโตของรายได้ตลาดโทรศัพท์มือถือ จากการแข่งขันด้านราคาที่ผ่อนคลายลง รวมไปถึงท่าทีของตลาดที่ประเมินผลประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงจากการบุติการให้บริการ 2G ที่ต่ำเกินไป และตลาดดูจะกังวลในประเด็นการประมูลคลื่นระบบ 5G และวัฏจักรงบลงทุนมากเกินไปอีกด้วย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก