เมื่อไม่นานมานี้หลายๆคนคงจะได้อ่านหัวข้อข่าวเรื่อง
ประเด็นร้อน: บจ.ตุนกำไรสะสม 3.68 ล้านลบ. วงการแนะเร่งบริหาร หวั่นกำเงินสดมากเสี่ยงถูกเทกโอเวอร์ !
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี้ : http://goo.gl/92Jb2K
หลายๆคนน่าจะสงสัยว่า กำไรสะสมมีความสำคัญอย่างไรกับบริษัท ?
กำไรสะสม หรือ Retained earnings คือ กำไรจากการค้าขายของบริษัทที่ไม่ได้จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น จึงถูกร่วมอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น ถ้าเราดูสมการงบดุล คือ สินทรัพย์ - หนี้สิน = ส่วนของผู้ถือหุ้น .. ซึ่งจุดสำคัญในสมการงบดุลอยู่ที่"ส่วนของผู้ถือหุ้น "เพราะจะเป็นของผู้ถือหุ้นจริงๆ
ในส่วนของผู้ถือหุ้นจะประกอบไปด้วยทุนจดทะเบียน ส่วนเกินทุน ทุนที่ชำระแล้ว ซึ่งเหล่านี้จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนักถ้าบริษัทไม่ได้มีการเพิ่มทุน ออกหุ้นเพิ่ม ลดทุนจดทะเบียน แต่สำหรับส่วนที่จะเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกไตรมาสนั้นคือ "กำไรสะสม" ถ้าบริษัททำกำไรได้ กำไรสะสมก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าบริษัทขาดทุน กำไรสะสมก็จะลดลง ถ้ามีมากก็จะถือว่าเป็นบริษัทที่ดี มีงบดุลที่แข็งแกร่ง ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่มีส่วนของผู้ถือน้อยหรือเป็น"ขาดทุนสะสม"นั้นแสดงว่าบริษัทมีงบดุลไม่แข็งแรง
สำหรับนักลงทุนแล้ว .. กำไรสะสม ขอให้มีเยอะไว้ก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ
คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่า กำไรสะสม นั้น จะอยุ่ในรูปของเงินสด แต่นั้นถูกแค่ส่วนเดียว กำไรสะสมไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของเงินสด แต่อาจจะอยู่ในรูปของสินทรัพย์ เครื่องจักร โรงงาน การขยายการดำเนินงาน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกๆวัน แต่ถ้าบริษัทลงทุนไปแล้วเกิดเป็นผลกำไรขึ้นมา กำไรสะสมก็จะมากขึ้นนั้นเอง
ในขณะเดียวกันถ้าบริษัทนั้นเล็งเห็นว่าการลงทุนของบริษัทนั้นน่าจะไม่คุ้มค่าก็อาจจะพิจารณาออกมาปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ได้เช่ยเดียวกัน
สรุป สำหรับนักลงทุนแล้ว ขอให้มีกำไรสะสมมากไว้ก่อน ส่วนการวิเคราะห์ว่าเป็นเงินสดไหม เป็นสินทรัพย์อะไรบ้างนั้นเป็นเรื่องไม่สำคัญเท่า เพราะอย่างน้อยมันก็ยังเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นส่วนของเรานั้นเอง
-----------------------
อย่างไรก็ตาม ... ดร.นิเวศน์ให้ความเห็นว่า กำไรสะสมเป็นส่วนหนึ่งของ "ส่วนผู้ถือหุ้น" หากมีมากนับเป็น "ส่วนผู้ถือหุ้นที่มีคุณภาพ" ถือเป็นความมั่นคงต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น เพราะบริษัทที่มีกำไรสะสมมาก จะเพิ่มศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว ซึ่งเงินปันผลถือเป็นหลักการลำดับแรกๆ ของการตัดสินใจเข้าลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ขณะเดียวกันกำไรสะสมก็สามารถนำไปใช้ลงทุนเพื่อต่อยอดขยายธุรกิจ เพิ่มการเติบโตให้กับบริษัท หรือเป็นเงินสำรองในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย
สำหรับพี่โจ ลูกอีสาน นักลงทุน VI ให้ความเห็นว่า .. กำไร สะสมเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี ไม่ได้สะท้อนว่าบริษัทมีเงินมากขนาดนั้น เพราะตัวเลขดังกล่าวอาจจะอยู่ในสินทรัพย์อื่น ที่ได้นำกำไรสะสมไปลงทุนไว้แล้ว แต่ในทางบัญชีตัวเลขนั้นๆ จะยังอยู่
"เราอาจจะเห็น PTT มีกำไรสะสมกว่า 6 แสนล้านบาท ถามว่าเก็บไว้ทำไม ไม่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น แต่ลองไปดูจริงๆ เงินจำนวนนั้นไม่ใช่เงินสดทั้งหมด เพราะกำไรสะสมเป็นเงินกำไรที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ ซึ่งระหว่างทางต้องมีการใช้ลงทุนไปแล้ว เป็นสินทรัพย์ไปแล้ว แต่ทางบัญชีมันไม่หายไป จะยังคงอยู่ กำไรสะสมในบัญชีจะหายไปก็ต่อเมื่อนำไปจ่ายเงินปันผล หรือ ลดทุน เท่านั้น
เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมากว่า ทำไมมีกำไรสะสมมโหฬารแต่จ่ายปันผลนิดเดียว แต่ความเป็นจริงตัวเลขที่ปรากฏ ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะมีเงินสดเยอะขนาดนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องกู้เงินไปลงทุนแล้วสิ
อย่าหลงประเด็นว่ากำไรสะสมต้องนำมาจ่ายปันผลทั้งหมด เพราะการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายจากกำไรสุทธิของการดำเนินงานในแต่ละงวด
อย่างไรก็ตาม กำไรสะสม ก็มีความสำคัญในระดับต้นๆ เพราะเป็นเงินของผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบสินทรัพย์ หรือ เงินสด สุดท้ายก็จะไปนับรวมอยู่ที่ ส่วนผู้ถือหุ้น"
------------------------
สำหรับใครที่อยากรู้จัก "กำไรสะสม" ในแง่ของบัญชี จริงๆ ก็มีคำอธิบายจาก ดร.ภาพร เอกอรรถพร (Fanpage) ครับ น่าสนใจมาก
คำถาม
อาจารย์ครับ กำไรสะสม นี้มันคือ อยู่ในรูปเงินสดหรือป่าวครับ
คำตอบ
"กำไรสะสม" ก็คือกำไรสะสม "เงินสด" ก็คือเงินสด อยู่คนละฝั่งในสมการบัญชีค่ะ แม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสะท้อนภาพเดียวกัน
คำอธิบายเพิ่มเติม
กำไรสะสมเป็นส่วนหนึ่งของ "ส่วนทุน" ถือว่าเป็นส่วนทุนที่บริษัทสร้างจากความสามารถของบริษัทเองและสะสมไว้ในบริษัทตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การที่ "กำไรสะสม" เพิ่มขึ้นทำให้เราคาดการณ์ว่า "เงินสด" ของบริษัทต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว (ถ้ารู้สมการบัญชี เราจะเข้าใจว่า ส่วนทุนอยู่ด้านขวาของสมการ เมื่อด้านขวาเพิ่ม ด้านซ้ายของสมการต้องเพิ่มตาม ด้านซ้ายของสมการในที่นี้ เรามักคิดถึง "เงินสด" ดังนั้น เมื่อกำไรสะสมเพิ่ม เงินสดของบริษัทควรเพิ่มตาม แต่นั่น... ไม่จริงเสมอไป)
เมื่อกำไรสะสมเพิ่ม เรามักคาดหวังว่า "เงินสด" ของบริษัท (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง) จะเพิ่มขึ้นบาทต่อบาท แต่ในความเป็นจริง บริษัทอาจไม่ได้ค้าขายด้วยเงินสดเพียงอย่างเดียว ในการสร้างกำไร บริษัทอาจให้ลูกค้าแปะโป้งไว้ เรียกว่า "ลูกหนี้การค้า" (เงินสดยังไม่ได้รับ แต่กำไรรับรู้เข้ากำไรสะสมไปแล้ว) ลูกหนี้บางส่วนเบี้ยวหนี้ทำให้เกิด "ค่าใช้จ่าย" ที่เรียกว่า "หนี้สงสัยจะสูญ" ซึ่งจะกลายเป็น "ค่าใช้จ่าย" ที่จะนำไปหักจากกำไรสะสมในงวดต่อๆ ไป จากตัวอย่างนี้ เราจะเห็นว่า "กำไรสะสม" ทางด้านขวาของสมการ สามารถทำให้เกิดรายการทางด้านซ้ายของสมการได้ 3 รายการแล้ว นั่นคือ 1. เงินสด 2. ลูกหนี้การค้า 3. ค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญ
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น...
สมมุติต่อว่า บริษัทได้รับเงินสดมาจากการขายสินค้าทั้งหมด จ่ายค่าใช้จ่ายด้วยเงินสดทั้งหมด เหลือกำไรเป็นเงินสดทั้งหมด แล้วโอนไปเข้าที่กำไรสะสม นั่นหมายความว่า บริษัทได้ "เงินสด" มาจาก "กำไรสะสม" บาทต่อบาท แต่ต่อมาบริษัทอาจไม่อยากกำ "เงินสด" ไว้นาน เพราะมีเรื่องที่ต้องใช้ เช่น จ่ายค่าเช่าล่วงหน้า เงินสดนั้นจะแปลงสภาพไปเป็น "ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า" ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์รายการหนึ่งในงบดุล (งบแสดงฐานะการเงิน) หรือซื้อหุ้นของบริษัทอื่นมาเก็งกำไร (บันทึกเป็น "เงินลงทุน") หรือให้บริษัทอื่นกู้ยืมเงิน (บันทึกเป็น "เงินให้กู้ยืม" โดยเฉพาะกับกิจการที่เกี่ยวข้องกัน) หรือซื้อสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานที่มีอายุการให้ประโยชน์เกิน 1 (บันทึกเป็น "ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์) ฯลฯ
ดังนั้น เราจะเห็นว่า "เงินสด" ที่บริษัทได้มาจาก "กำไรสะสม" นั้น อาจแปลงสภาพไปเป็นสินทรัพย์รายการอื่น เป็นค่าใช้จ่าย หรือนำไปลดหนี้สิน จนหมดไปจากคลังแล้ว บางครั้ง บริษัทสุรุ่ยสุร่ายหาเงินมาเท่าไรก็ไม่พอใช้ พอบริษัทจะประกาศจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น บริษัทก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายปันผล (เมื่อสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีวินัยการคลัง ก็ต้องกู้เงินเพิ่มหรือปิดโรงเรียนเล็ก.. เริ่มนอกเรื่อง)
สรุปก็คือ... คำว่า "กำไรสะสม" กับ "เงินสด" นั้นมีความหมายต่างกัน อาจเกี่ยวข้องกันในบางเรื่อง แต่มักไม่สะท้อนภาพเดียวกัน เช่น บริษัทมี "กำไรสะสม" มาก แต่อาจไม่มี "เงินสด" เพราะใช้หมดแล้ว หรือบริษัทมี "เงินสด" มาก แต่อาจไม่มี "กำไรสะสม" เพราะค้าขายขาดทุน และเงินสดที่มีอยู่ก็กู้เขามาทั้งนั้น (แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายคืน เพราะเล่นกู้เงินมาโกงกัน ตัวเองโกงไม่พอ เอาญาติตัวเองมาช่วยโกง เอาญาติตัวเองมาไม่พอ ไปชวนพวกมาช่วยโกง แล้วพวกก็ชวนญาติมาช่วยโกงต่อ พอเหลือแต่กระดูก ผู้บริหารก็ยังสุขสำราญ บาปได้กับนักลงทุนกับประชาชนค่ะ)
ขอบคุณความรู้ดีๆจาก ดร.ภาพร เอกอรรถพร (Fanpage) ไว้ด้วยครับสำหรับความรู้ ..