5 หุ้นอรหันต์ SET 100 ราคาต่ำ 10 ปันผลดี-ผลประกอบการโต
ในช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบนี้นักลงทุนคงจะเลือกลงทุนไม่ถูกว่าควรจะลงทุนในหุ้นตัวไหนดีที่จะสามารถให้ผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว เพราะบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งก็ประกอบธุรกิจที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่ในช่วงนี้คงจะหนีไม่พ้นธีมการลงทุนหุ้นกลุ่มโรงแรม กลุ่มปิโตรเคมี หรือกลุ่มพลังงานโรงไฟฟ้าที่ได้รับการคำนวณในดัชนี SET50 ซึ่งล้วนแต่มีราคาต่อหุ้นในระดับสูง จึงทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกลงทุนหุ้นได้เพียงไม่กี่ตัวในพอร์ต หากว่าไม่ได้เป็นนักลงทุนที่เก็บสะสมหุ้นดังกล่าวมานาน อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นที่ได้รับการคำนวณใน SET 100 ที่มีราคาต่อหุ้นต่ำกว่า 10บาทต่อหุ้น ที่นักลงทุนสามารถเลือกซื้อได้เพราะเนื่องจากจะเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET 100 แล้ว ยังเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง รวมถึงผลประกอบการยังอยู่ในทิศทางที่ดี
Wealthy Thai ได้รวบรวมหุ้นที่ได้รับการคำนวณในดัชนี SET 100 จำนวน 5 บริษัท ที่มีราคาต่อหุ้นไม่เกิน 10 บาท มาให้นักลงทุนได้เป็นตัวเลือกในการเข้าพิจารณาการลงทุน เริ่มกันที่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังทนกับสภาวะการระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในงวด 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 63 มีกำไรสุทธิ 3,284 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าในปี 62 ทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 3,067 ล้านบาท ซึ่งหลักๆเป็นผลจากยอดโอนคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นกว่า 59% ขณะเดียวกันยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 5.80% โดยบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประมาณการกำไรสุทธิปี 63 คาดจะทำได้ 3,750 ล้านบาท เติบโต 19% และยังมีโอกาสอัพไซด์และเป็นเพียงรายเดียวในกลุ่ม สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิปี 64 ถึงแม้จะไม่เด่นในแง่การเติบโตแต่เป็นเพราะฐานปี 63 ที่สูง แต่มีโอกาสที่กำไรสุทธิปีนี้ และปีหน้าจะทำสถิติสูงสุด
ขณะที่บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าที่ใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าแล้วกว่า 638 MW และในปี 65 จะมีใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้า 1,000 MW นอกจากนี้ยังเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการด้านพลังงานอาทิต และวางระบบสายไฟฟ้าลงใต้ดิน รวมถึงการเป็นผู้รับเหมาการวางระบบสายไฟฟ้าในเกาะต่างๆ โดยในงวด 9 เดือนมีรายได้ จำนวน 7,009 ล้านบาท ซึ่งทำได้เกือบจะใกล้เคียงกับปี 62 ที่มีรายได้ 7,463 ล้านบาท โดยทาง GUNKUL คาดรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 8,000ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงสุดเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแค่ผลประกอบการที่เติบโตแต่ GUNKUL ยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 5.48%
ซึ่งบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด มองว่าจากการที่ GUNKUL ขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นออกไป แต่จะมีโครงการ Utsunomiya ที่จำหน่ายการลงทุนไปนั้นมีกำลังการผลิตติดตั้ง 69.83MW มีกำหนด COD ในเดือน ก.พ. 66 จึงทำให้มีเวลาอีกกว่า 2 ปี ในการหากำลังการผลิตใหม่เข้ามาทดแทน ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษา ซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามจำนวน 2 – 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวมราว 50 – 160 MW ซึ่งเป็นโครงการที่ COD แล้ว ยังมีโอกาสที่จะ M&A ได้เสร็จภายในไตรมาส 4/63 ทำให้มีการรับรู้รายได้และกำไรได้เร็วกว่า ซึ่งเป็นอัพไซด์ ต่อประมาณการ การขายเงินลงทุนครั้งนี้ทำให้ฐานทุนเพิ่มขึ้น อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนลดลง ทำให้เพิ่มโอกาสในการใช้เงินกู้ยืมได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความสามารถในการออกหุ้นกู้ได้อีก 9,000 ลบ. จากมูลค่าทั้งหมดที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ที่ 15,000 ลบ. ผู้บริหารยังยืนยันไม่เพิ่มทุน ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.26บาท
ด้านบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า ถึงแม้ว่ากำไรสุทธิในงวด 9 จะออกมาเติบโตกว่าปีก่อน แต่เมื่อรวมงวด 9 เดือนแล้วจะลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผู้บริหารระบุว่า ในช่วง 9 เดือนปี 63 สามารถสร้างยอดขาย (Presale) ได้กว่า 19,000 ล้านบาท ของเป้ายอดขายทั้งปี 21,500 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจายอดขายทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการพร้อมอยู่ ขณะที่ช่วงไตรมาส 4/63 บริษัทมีแผนทยอยเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,050 ล้านบาท ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด มองว่ายอดขายในไตรมาส4/63 จะทำได้ดีต่อเนื่อง จากแผนการเปิดตัวโครงการใหม่
ซึ่งส่งผลให้ยอดขายปีนี้ทำได้ราว 2.7-2.8 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่ ORI ประเมินไว้ที่ 2.15 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรไตรมาส4/63 ยังมีโอกาสดีขึ้นจากแผนการโอนคอนโดใหม่ที่เพิ่มขึ้น ประเมินกำไรสุทธิปี 63 ที่ 2.7 พันล้านบาท สำหรับปี 64 กำไรปกติจะกลับมาเติบโตเป็น 3,100 ล้านบาท โดยมีจุดเด่นจาก backlog ที่รอโอนครอบคลุม คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 9.70 บาท
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าที่ประกาศผลกำไรไตรมาส3/63 และ 9 เดือนที่เติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะกำไรที่ดีขึ้นได้แรงหนุนจากปริมาณขายไฟรวมเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้บริหารมองว่าผลประกอบการในปี 63 ยังสามารถทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ) ได้ต่อเนื่อง โดยบริษัทจะมีโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เข้าสู่ระบบ จำนวน 3 โครงการ รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าที่ได้รับใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าแล้ว จำนวน 2-3โครงการ โดยในปี 68 จะต้องมีโรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบ จำนวน 120MW จากปัจจุบันมี 440 MW
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสไตรมาส 4/63 คาดจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากการเพิ่ม Boiler ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น รวมแล้วปีนี้คาดจะประคองตัวได้ ประเมินรายได้ 11,276 ล้านบาท โต 7% และ มีกำไร 4,584 ล้านบาท ติดลบเล็กน้อย 1%
และปิดท้ายกันที่บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ให้บริการธุรกิจสาธารณูปโภค ผลิตและจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม และบริหารจัดการน้ำเสีย ให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม และลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีมุมมองว่ากำไรของ WHAUP จะเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำที่สูงขึ้น จากการเริ่มดำเนินการผลิตของโรงงานปิโตรเคมีในเดือนธ.ค.63 และการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม และการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรมและ Duong River จะขาดทุนลดลง การดำเนินงานของ Duong River ล่าช้า 4-6 สัปดาห์เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 คาดว่าโรงงานจะถึงจุดคุ้มทุนภายในกลางปี 64
ทั้งนี้ยังมีอัพไซด์หลายประเด็นที่ยังไม่รวมเข้าไปในประมาณการของเรา เช่นการขยาย solar rooftop เร็วขึ้นหากการศึกษาแผนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชน (P2P) และ smart microgrid ประสบความสำเร็จ โดยบริษัทวางแผนในการขยายกำลังการผลิต 100MW ภายใน 2022 โดยเซ็นสัญญาแล้ว 47MW
รวมถึง ดีล M&A โซลาร์ฟาร์ม 3 โครงการที่พัฒนาแล้ว (brownfield) มีกำลังการผลิตโครงการละ 50-250MW และโครงการน้ำและบำบัดนำที่เสียที่พัฒนาแล้วและที่จะเริมพัฒนา (greenfield) ในเวียดนาม โดยความคืบหน้าจะชัดเจนขึ้นหลังการผ่อนคลายการปิดประเทศคาดว่าจะมีการฟื้นตัวของการดำเนินงานและอัพไซด์หลายประการที่จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5 บาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก