กลุ่มพลังงาน
ปัจจัยเสี่ยงด้านนโยบาย จะฉุดมูลค่าหุ้น
ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและมี upside เพิ่มจากการขยายเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจออกไปอีกในปีหน้า คาด GRM ยังอยู่ในช่วงกลางของวัฎจักร
ผู้ค้าปลีกน้ำมันและผู้ผลิต B100 ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาอุปทานโอเลฟินส์ล้นตลาดยังคงอยู่ คาดอะโรเมติกส์เริ่มฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า
หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน คือผู้เล่นต้นน้ำและโรงกลั่น (PTTEP, ESSO และ TOP) แต่ไม่มีหุ้นเด่นในกลุ่มปิโตรเคมี ลดคำแนะนำของหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐ
Highlights
มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นกับแนวโน้มราคาน้ำมัน ตลาดน้ำมันดิบทั่วโลกที่ตึงตัวเกิดจากการควบคุมอุปทานของกลุ่ม OPEC+ โดยนโยบายการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะยังเป็นตัวกำหนดระดับราคาน้ำมันในปีหน้า เราปรับเพิ่มสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2566-68 ของเราขึ้น 7-13% เป็น 80-85 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยยังมี upside เพิ่มได้อีก หากซาอุดิอาระเบียตัดสินใจขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจออกไปจากสิ้นปี 2566 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งเกินระดับ 100 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล
คงมุมมองเดิมต่อธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำ เราคงมุมมองเดิมที่คาดว่าอุตสาหกรรมโรงกลั่นในภูมิภาคจะอยู่ในช่วงกลางของวัฎจักรตลอดทั้งปี 2566-68 จากกำลังการกลั่นส่วนเกินที่ค่อนข้างทรงตัว โดยเราคาดว่า GRM จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล โดยเฉลี่ย และอาจผันผวนได้ 2-3 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ออกจากค่าเฉลี่ยตามการเร่งกลับมาเก็บ/ระบายสต็อกน้ำมัน และปริมาณอุปสงค์และอุปทานใหม่ที่อาจไม่สอดคล้องกันในระยะสั้น ในขณะที่เราคาดว่าธุรกิจอะโรเมติกส์จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ปี 2567 หนุนจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ปรับลดลง แต่คาดอุตสาหกรรมโอเลฟินส์จะแตะระดับต่ำสุดใน 1 ปีต่อมา ทั้งนี้ ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะยังได้รับผลกระทบจากการควบคุมค่าการตลาดตามการบริหารการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันและนโยบายของภาครัฐ
เพิ่มประมาณการกำไรกลุ่มพลังงาน แต่ลดประมาณการของกลุ่มปิโตรเคมี เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-68 ของกลุ่มพลังงานขึ้น 11%/1%/1% จากการปรับเพิ่มสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบและ Singapore GRM ขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-68 ของกลุ่มปิโตรเคมีลง 13%/12%/11% จากการปรับลดสมมุติฐานส่วนต่างราคาปิโตรเคมีหลักๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ปลายน้ำ นอกจากนี้ เรายังรวมผลกระทบการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเป็นเวลา 1.5 เดือนของ ESSO ในครึ่งปีหลังปีนี้ และรวมผลกระทบแผนการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น SPRC ในปี 2568 ไว้ในประมาณการของเราในครั้งนี้
ปัจจัยเสี่ยงหลักยังมาจากนโยบายภาครัฐ ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ผลกระทบจากนโยบายรัฐเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของบริษัทในกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีบางตัว นอกเหนือจากความกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกที่อาจส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้งนี้ นโยบายรัฐที่อาจส่งผลกระทบรุนแรง แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย คือการปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่น และนโยบายต้นทุนก๊าซราคาเดียว (single gas pool price) ในขณะที่ นโยบายที่อาจส่งผลกระทบไม่มากแต่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูง คือการแทรกแซงค่าการตลาดค้าปลีกน้ำมันและการปรับลดส่วนผสม B100 ในน้ำมันดีเซลลง โดยเราได้วิเคราะห์ความอ่อนไหวของปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวโดยแสดงอยู่ในแผนภาพที่ 45-46
KS มุมมองการลงทุน
คงมุมมองบวกต่อกลุ่มพลังงานและมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มปิโตรเคมี เราชอบกลุ่ม E&P ต้นน้ำและโรงกลั่น จากราคาน้ำมันดิบและ GRM ที่คาดจะยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ผู้ประกอบการการค้าปลีกน้ำมันและ PTT จะยังได้รับผลกระทบจากนโยบายลดราคาพลังงานของภาครัฐต่อไปในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ดังนั้น หุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานของเราคือ PTTEP, ESSO และ TOP ขณะที่เราไม่มีหุ้นเด่นในกลุ่มปิโตรเคมี เรายังคาดว่าวัฎจักรของอุตสาหกรรมอะโรเมติกส์จะแตะระดับต่ำสุดในปี 2566 และจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในปี 2567 ขณะที่วัฏจักรอุตสาหกรรมโอเลฟินส์จะแตะระดับต่ำสุด 1 ปีหลังจากนั้น
