|
หลังจากบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ทยอยกันออกมารับสารภาพ ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น(ตั๋วบี/อี) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างออกโรง เพื่อระงับความตื่นตระหนกของนักลงทุน โดยยืนยันว่า ตั๋วบี/อีที่เกิดปัญหา มีเพียงส่วนร้อย และจะไม่กระทบต่อตลาดตราสารหนี้ ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ซึ่งกำกับดูแลฃการออกตั๋วบี/อี ได้จัดทำเอกสาร รวบรวมข้อมูลตราสารหนี้แต่ละประเภท เปรียบเทียบให้เห็นว่า วงเงินการออกตั๋วบี/อีมีสัดส่วนที่น้อยมาก เพื่อเทียบกับตราสารหนี้ทั้งระบบ และตั๋วบี/อีที่เน่า มีจำนวนเพียงประมาณ 1,000 ล้านบาท มีสัดส่วนเพียง 0.38% ของมูลค่าหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดเรตติ้งซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 2.6 แสนล้านบาท สิ้นไตรมาสที่สามปี 2559 ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีมูลค่ารวม 3.58 ล้านล้านบาท มีตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหรือเรตติ้ง ประกอบด้วยหุ้นกู้และตั๋วบี/อีจำนวน 2.6 แสนล้านบาท หรือสัดส่วน7.2% ของมูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด พิจารณาจากข้อมูลตลาดตราสารหนี้ที่ก.ล.ต.รวบรวมมาเผยแพร่ คงต้องเห็นพ้องว่า ตั๋วบี/อีที่เด้งกันเป็นโดมิโน่ในตลาดหลักทรัพย์วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาทนั้น เป็นวงเงินพียงส่วนน้อย และยังไม่มีผลกระทบอะไรกับกับตลาดตราสารหนี้ แต่การผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อีที่ปรากฏเป็นข่าว จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤตตั๋วบี/อีเน่าหรือไม่ และจะเป็นสัญญาณเตือนภัยหนี้เสียครั้งใหญ่ที่จะตามมาหรือไม่ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นกิจการที่มีฐานะแข็งแกร่งกว่าบริษัททั่วไป มีเครดิตความน่าเชื่อถือ สามารถระดมทุนได้หลายช่องทาง ทั้งการเพิ่มทุน ออกห้นกู้ ออกตั๋วบี/อี หรือกู้เงินจากสถาบันการเงิน แต่บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งกลับผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนในตลาดหุ้น สร้างแรงสั่นสะเทือนกับตลาดตราสารหนี้ สร้างความเสียหายกับบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลบักทรัพย์จัดการกองทุนที่ซื้อตั๋วบี/อีลงทุนไว้ รวมทั้งทำให้เกิดความกังวลกับปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงินด้วย เพราะจะมีเพียงบริษัทจดทะเบียน 3 หรือ 4 แห่งเท่านั้นหรือที่มีปัญหาสภาพคล่อง จนหมดความสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และมีเพียงหนี้ตั๋วบี/อีเท่านั้นหรือที่เกิดปัญหา ในเมื่อบริษัมจดทะเบียนบางแห่งไม่สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ตั๋วบี/อีวงเงินเพียงไม่กี่สิบล้านบาท หรือไม่กี่ร้อยล้านบาท บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งยังไม่สามารถไถ่ถอนได้ หุ้นกู้ที่นำเสนอขาย หนี้ที่กู้จากสถาบันการเงิน หรือแม้แต่หนี้การค้า จะไม่เกิดปัญหาชำระหนี้ตามมาหรือ ตลาดตราสารหนี้มูลค่าประมาณ 3.58 ล้านล้านบาทที่หลายหน่วยงานพยายามออกมาปกป้องนั้น ไม่ใช่ประเด็นหลักเสียแล้ว ถ้าวิกฤตตั๋วบี/อีเน่า เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการปะทุของหนี้ทั้งระบบ วิกฤตตั๋วบี/อีเน่านั้นไม่น่ากลัว เพราะอยู่ในวิสัยที่จะควบคุมจำกัดผลกระทบได้ แต่ถ้าปัญหาตั๋วบี/อี เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยในวิกฤตหนี้ครั้งใหม่ที่อาจกลับมาเยือน คงะต้องเตรียมการรับมือกันขนานใหญ่ล่วงหน้า อย่ามองข้ามวิกตตั๋วบี/อี เน่า อย่ามองโลกสวยกันเกินไป อย่าพยายามปิดสัญญาณเตือนภัยในวิกฤตหนี้ที่อาจตามมา แต่ต้องส่งสัญญาณตรงไปถึงนักลงทุน เตือนนักลงทุนไม่ให้หลงระเริง เตือนให้จับตาพัฒนาการวิกฤตหนี้ตั๋วบี/อีอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าปัญหาสภาพคล่องบริษัทจดทะเบียนลุกลาม การเบี้ยวหนี้ขยายไปในวงกว้าง จะกระทบระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ตลาดเงิน ตลาดทุนและตลาดหุ้นจะปั่นป่วน วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นักลงทุนต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะไม่มีใครเตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง ทั้งที่มีสัญญาณร้ายก่อตัวมาก่อนหน้า เหมือนสัญญาณร้ายจากวิกฤตตั๋วบี/อีเน่านี่แหละ |
|