ชู “หุ้นเทคฯ” แรงต่อเนื่องไตรมาส2 รับ “จุดจบดอกเบี้ยขาขึ้น”…
ส่วน “หุ้นไทย” Downside จำกัด-พร้อมลุ้นวิ่งรับ “Election Rally” !!!

.
Fun of Funds: “Banking Crisis” ในฝั่งสหรัฐและยุโรปยังเป็นสิ่งที่ทั่วโลกจับตาใกล้ชิด รวมถึงความตึงเคียดเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังระอุอยู่ก็ละเลยไม่ได้เช่นกัน
.
ส่วน “ดอกเบี้ยสหรัฐ” ตลาดคาดว่าจะสิ้นสุดขาขึ้นได้ในปีนี้ อาจจะปรับขึ้นไปสู่ระดับ 5.00-5.25% แล้วทรงตัวก่อนจะปรับลงในปีหน้า ซึ่งทันทีที่หยุดขึ้นดอกเบี้ยตลาดมักจะตอบรับในเชิงบวก
.
โดยเฉพาะ “หุ้นกลุ่มเทคฯ” และ “หุ้นเติบโต” ที่ผลงานไม่ดีในปีที่ผ่านมา ไตรมาสแรกปีนี้ก็กลับมาได้อย่างโดดเด่นจนเป็นอีกธีมที่น่าสนใจในปีนี้
.
อีกตลาดที่มองข้ามไม่ได้ในปีนี้ก็คือ “หุ้นไทย” นั่นเองที่ปัจจุบันยังคงต่ำกว่า 1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ถูกและน่าสนใจเช่นเดียวกัน
.
ถือเป็น 2 ธีมที่แตกต่างแต่น่าสนใจทั้งคู่ วันนี้ทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthythai’ มีมุมมองที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกัน
.
“หุ้นเทคฯ-หุ้นเติบโต”...แนวโน้มดีต่อเนื่องไตรมาส2/23
.
ปีที่แล้ว “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) เร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง จนตลาดหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกแดงเดือดไปตามๆ กัน จึงไม่น่าแปลกใจว่า...ปีนี้แค่มีสัญญาณว่าปีนี้จะ “หยุดขึ้นดอกเบี้ย” จบดอกเบี้ยขาขึ้น ก็นับเป็น “ข่าวดี” สำหรับตลาดแล้ว ยังไม่ต้องไปคิดไกลว่า...ถัดจากนั้น จะทรง หรือจะลง
.
โดย “ดารบุษป์ ปภาพจน์” กรรมการผู้จัดการ บลจ.อีสท์สปริง มองว่า กรณีของ SVB และ Credit Suisse ส่งผลต่อความไม่มั่นใจของประชาชน ซึ่งอาจส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงความเปราะบางของสถานการณ์ตลาดเงินอาจส่งผลให้ FED จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไว้ที่ไตรมาสที่2/23 นี้ ซึ่งจาก Dot Plot ล่าสุด Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง แต่สิ่งที่นักลงทุนมองต่างจาก FED คือ สถานการณ์มีแนวโน้มที่
.
จะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งการใช้จ่ายที่อาจลดลง และ การตึงตัวของตลาดเงินที่ความไม่มั่นใจสูงขึ้น การระดมทุนยากขึ้นส่งผลให้นักลงทุนมองว่า FED อาจจะต้องกลับลำแล้วมาลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่3/23
.
“อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจยังไม่เกิดในปีนี้ จากการเข้ามาช่วยเหลือของทางการและการเปลี่ยนท่าทีของ FED ที่อาจมีการกลับลำในการลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อเป็นการประคองเศรษฐกิจได้เช่นกัน นั่นทำให้ดัชนีรายอุตสาหกรรมของ S&P500 ค่อนข้างกลับทิศจากปีที่แล้วอย่างชัดเจน จากปีที่แล้ว ‘กลุ่มเทคโนโลยี’ เป็นกลุ่มที่สร้างความผิดหวังและติดลบค่อนข้างมาก แต่หลังจบไตรมาส1/23 กลุ่มเทคฯ สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดเป็น ‘อันดับ 1’ ด้วยผลตอบแทน +21.49% รองลงมาเป็นกลุ่มสื่อสารทำได้ +20.18% และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยทำได้ +15.76%”
.
ในไตรมาสที่2/23 เชื่อว่าจะยังเป็นภาพเดียวกันกับไตรมาสแรก ที่ “กลุ่มเทคฯ” และ “กลุ่มเติบโต” จะสามารถทำผลตอบแทนได้น่าสนใจต่อเนื่อง เพราะเป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะที่ภาพรวมของ “จีน” และภูมิภาคอย่าง “เอเชีย” อาจได้รับประโยชน์จากพัฒนาการทางเศรษฐกิจของจีนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โดยภาพรวมในไตรมาสที่ 2 ธีมการลงทุนที่ชื่นชอบ คือ “ตลาดหุ้นจีน เอเชีย สหรัฐ”
.
“หุ้นปันผลไทย” เด่นน่าสนใจหลังหุ้นร่วงแรง…มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 1,740 จุด
.
ส่วน “หุ้นไทย” ระยะสั้นยังถูกกดดันจากทิศทางดอกเบี้ยของ FED การไหลออกของเงินต่างชาติ และการปรับประมาณการกำไรของบจ.ลง จนทำให้ดัชนีหลุดลงมาต่ำกว่า 1,600 จุด และยังไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนได้อย่างมั่นคง ซึ่งตลาดมองว่าเป็นระดับที่ “ถูกและน่าสนใจ”
.
โดย “พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ ยังมองดัชนี SET Index ของปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,740 จุด หลังความกังวลจากภาคธนาคารในต่างประเทศผ่อนคลายลง อีกทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น ทั้งนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังได้รับปัจจัยกดดันจากการไหลออกเงินเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ จากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED รวมถึงการถูกปรับลดประมาณการผลกำไรบริษัทจดทะเบียน (SET EPS) ในปี 2023-2024 จากนักวิเคราะห์ประมาณ -4.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่ม
.
อุตสาหกรรมที่ถูกปรับประมาณการลงมากที่สุดคือ Agribusiness, Petrochemical และ Entertainment ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น
.
“อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึง ‘การเลือกตั้งใหญ่’ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. นี้ จะกลายเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยจำกัด Downside ของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้าได้ และอาจเกิด ‘Election Rally’ จากความคาดหวังและมาตรการที่กระตุ้นฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงราว 1-1.2 แสนล้านบาท โดยจากสถิติในอดีตพบว่าในช่วงก่อนเลือกตั้ง 1 เดือน ไปจนกระทั่งผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว 1 เดือน ผลตอบแทนเฉลี่ยของ SET Index อยู่ในช่วง +1.1% ถึง +5.3%”
.
ปัจจุบัน “หุ้นไทย” ซึ่งมีมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงมากเทียบกับตลาดสหรัฐ (ในแง่ Price-to-book และ Forward PE) จึงน่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติในแง่การกระจายความเสี่ยง ซึ่งแนะนำซื้อสะสมเมื่อตลาดมีการแกว่งตัวลงในรายวัน ควบคู่กับการกระจายการลงทุนไปกองทุนต่างประเทศหากผู้ลงทุนสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในการลงทุนตลาดใดตลาดหนึ่ง
.
“โดยแนะนำกลุ่ม ‘หุ้นปันผล’ ที่คาดว่ามีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง, มีอัตราการจ่ายปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และหุ้นที่คาดว่ามีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจะเป็นหุ้นที่น่าเก็งกําไรหลักในเดือน เม.ย. นี้”
.
“หุ้นเทคฯ” และ “หุ้นเติบโต” กลับมาโดดเด่นในปีนี้รับอานิสงส์สิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้นของ FED ส่วน “หุ้นไทย” ลงมาจน Downside จำกัด ในขณะที่อัพไซด์เปิดรับ โดยเฉพาะลุ้น “Election Rally” รับเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง 14 พ.ค. นี้ ก็เป็นโอกาสการลงทุนใน 2 ธีม 2 สไตล์ในมิติที่แตกต่างกันไป