ห้องเม่าปีกเหล็ก

แพ้พิษดอกเบี้ย

โดย Story
เผยแพร่ :
66 views

แพ้พิษดอกเบี้ย

 

 “ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะโยกย้ายไปในลักษณะ “ขาขึ้น” หรือ “ขาลง” ควรเป็นไปตามกลไกตลาด โดยมีผู้ทำหน้าที่คอยดูแลให้ความเคลื่อนไหวสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินในขณะนั้นเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่องค์กรที่จะทำหน้าที่พิทักษ์ดอกเบี้ย ก็คือ ธนาคารกลาง”

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยมีอยู่ไม่กี่ทาง ไม่ขยับขึ้นก็ขยับลง หรืออยู่นิ่งๆ นานนับเดือนนับปี ความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นทิศทางใด มีทั้งคนชอบและคนชัง พวกมีตังค์เหลือกินเหลือใช้ ย่อมชอบอัตราดอกเบี้ยสูง จะได้ขนเงินไปฝากแบงก์ นอนกินดอกเบี้ยชิลล์ๆ ส่วนพวกชักหน้าไม่ถึงหลัง อยากให้ดอกเบี้ยต่ำๆ ไปตลอดกาล จะได้ชำระหนี้สินเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยถูกๆ ต่อลมหายใจไปพลางๆ

แต่ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะโยกย้ายไปในลักษณะ “ขาขึ้น” หรือ “ขาลง” ควรเป็นไปตามกลไกตลาด โดยมีผู้ทำหน้าที่คอยดูแลให้ความเคลื่อนไหวสอดคล้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินในขณะนั้นเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่องค์กรที่จะทำหน้าที่พิทักษ์ดอกเบี้ยก็คือ ธนาคารกลาง ซึ่งจะมีอยู่ทุกประเทศ และคอยทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ เป็นสำคัญ โดยเฉพาะค่าเงินสกุลท้องถิ่น และอัตราดอกเบี้ย

ธนาคารกลางของประเทศไหน ฝีมือขั้นเทพ ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะจะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้อย่างราบรื่น แต่หากโชคร้าย เจอแบงก์ชาติที่ดันทำหน้าที่ไม่ค่อยเต็มที่ กลัวๆ กล้าๆ เพราะถูกแทรกแซงจากอำนาจรัฐ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ผลกรรมย่อมตกอยู่กับเศรษฐกิจและพลเมืองของประเทศนั้นๆ อย่างน่าเสียดาย

ตุรกี ในสายตาของคนทั่วๆ ไป ถือว่าเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ หากไม่เกิดโรคระบาดโควิด ตุรกีจะทำเงินจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ปีละไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์อย่างสบายๆ แต่ในแง่มุมของกูรูเศรษฐศาสตร์ ตุรกี บริหารเศรษฐกิจและการเงินของประเทศได้อย่างสับสน และพลาดโอกาสดีๆ หลายครั้ง ด้วยสาเหตุเพียงเพราะผู้นำประเทศ ไม่ชอบดอกเบี้ยขาขึ้น และเชื่อว่าพระเจ้าต้องการดอกเบี้ยต่ำเพื่อตุรกีเท่านั้น

ตุรกี ทำผลงานทางเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดีในรอบปี 2020 ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ด้วยอัตราการเติบโตของ GDP ประมาณ 1.8% ซึ่งน่าพอใจทีเดียว เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศที่ส่วนใหญ่ประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยกันทั้งนั้น แถมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังพยากรณ์อีกว่า เผลอๆ ปี 2021 เศรษฐกิจมีแนวโน้มได้เติบโตถึงระดับเฉลี่ยราว 6% ถือว่าเป็นรายงานที่สร้างความพอใจให้แก่ผู้นำตุรกีไม่น้อย และดูจากสถานการณ์เศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีนี้ ก็สงบราบรื่นดี ค่าเงินสกุลท้องถิ่น Lira มีเสถียรภาพ นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับมาลงทุนอีกครั้ง ประมาณว่าตั้งแต่ปลายปี 2020-กุมภาพันธ์ 2021 ตุรกีรับเม็ดเงินเหนาะๆ เกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์

ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและการเงินตุรกี ได้หวนกลับมาเหมือนปกติอีกครั้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เมื่อประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdogan ได้แต่งตั้งผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ นาย Naci Agbal แทนนาย Murat Uysal ที่ขณะนั้น แบงก์ชาติถูกมองว่าไร้ฝีมือ และเป็นเพียงหุ่นเชิดให้แก่ผู้นำประเทศ จึงทำให้ค่าเงิน Lira ผันผวนอย่างหนักเป็นระยะๆ ในรอบปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติก็พากันเผ่นหนี การแก้ไขปัญหาของแบงก์ชาติในช่วงนั้น ควรที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อพยุงค่าเงิน Lira ไม่ให้ทรุดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

แต่ปรากฏว่า ธนาคารกลางตุรกี เลือกใช้มาตรการแทรกแซงค่าเงิน ด้วยการใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทุ่มขายเงินดอลลาร์อย่างหนัก เพื่อหวังอุ้มค่าเงิน Lira ให้สำเร็จ แต่ในที่สุด แบงก์ชาติก็ต้องโยน “ผ้าขาว” ขอยอมแพ้ ปล่อยให้ค่าเงิน Lira ดำดิ่งตามกระแสตลาดที่ขาดความเชื่อมั่น แถมกองทุนเงินสำรองฯ ที่ใช้ในสงครามพยุงค่าเงิน ก็หมดไปประมาณ 130,000 ล้านดอลลาร์ เกือบเกลี้ยงคลัง

ทางออกของรัฐบาล Erdogan ก็คือ ไล่ผู้ว่าการแบงก์ชาติ Uysal ซึ่งในสายตาของเซียนเศรษฐกิจ มองว่าวิกฤติครั้งนี้ ควรเฉลี่ยๆ กันให้ทั่วถึง ไม่ใช่ฟ้าผ่าที่นาย Uysal เท่านั้น เพราะจริงๆ แล้ว การที่นาย Uysal ไม่ยอมปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อใช้เป็นมาตรการหนึ่งที่จะพยุงค่าเงิน Lira ก็เพราะประธานาธิบดี Ergogan ไม่ชอบดอกเบี้ยขาขึ้น นาย Uysal จึงเกรงใจ “นาย” และใช้มาตรการอื่นๆแทนจนสับสนตลาดไปหมด แต่ผลสุดท้าย ก็กลายเป็นแพะอยู่ตัวเดียว โดยมีคำสั่งไล่ออกเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2020 และให้ นาย Naci Agbal ทำหน้าที่แทนทันที

ความโกลาหลทางเศรษฐกิจตุรกีในช่วงนั้น ว่ากันว่า ไม่ใช่เพราะผู้ว่าการ Uysal เท่านั้น แต่ยังมาจากฝีมือลูกเขยของผู้นำ Erdogan ด้วย ได้แก่ นาย Berat Albayrak ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังตุรกี มาตั้งแต่ปี 2018 และในแวดวงการเมืองรู้กันเต็มอกว่าน่าจะเป็นทายาททางการเมืองคนต่อไปของนาย Erdogan ทั้งนี้ นาย Albayrak ได้บริหารเศรษฐกิจและการคลังตามใจพ่อตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะห้ามแตะดอกเบี้ยให้สูงเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ ตุรกีจึงมีแต่ดอกเบี้ยต่ำหรือทรงตัวเท่านั้น

นอกจากนี้ การใช้เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศ เข้าแทรกแซงค่าเงิน Lira จนฐานะการเงินประเทศย่ำแย่ ก็เพราะขุนคลัง Albayrak เป็นคนสนับสนุนให้แบงก์ชาติเปิดฉากสู้กับกระแสตลาดให้สำเร็จ แต่ในที่สุดก็เอาไม่อยู่ และความผิดก็ตกอยู่กับผู้ว่าการแบงก์ชาติลำพัง

อย่างไรก็ตาม งานนี้ ขุนคลัง Albayrak นอนไม่เป็นสุขเท่าใดนัก เมื่อพ่อตา นาย Erdogan เลือกแต่งตั้งนาย Agbal เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาทางเศรษฐกิจกับ Albayrak หลายเวทีสัมมนา หรือการประชุมทางเศรษฐกิจ และดูเหมือนผู้ว่าการป้ายแดง Agbal จะเข้าบริหารแบงก์ชาติครั้งนี้อย่างขึงขัง และเตรียมขุดคุ้ยเกี่ยวกับการใช้มาตรการผิดๆ จนทำให้ทุนสำรองของประเทศวอดวาย รวมถึงเตรียมปัดกวาดคนในแบงก์ชาติ ให้เหลือไว้เฉพาะมืออาชีพจริงๆ ในช่วงที่ Albayrak นั่งเก้าอี้คลัง ค่าเงิน Lira หดหายไปกว่า 40%

ว่าแล้ว รัฐมนตรีคลัง Albayrak ยอมถอยไว้ก่อนดีกว่า จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนคลังแบบฟ้าแลบ หลังจากที่นาย Agbal รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติเพียงวันเดียว โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ คอการเมืองเมาธ์กันว่า ประธานาธิบดี Erdogan อาจบอกให้ลูกเขยออกไปจากสายตาสาธารณชนไว้ก่อน เพราะกระแสนิยมผู้ว่าการ Agbal กำลังมาแรง โดยเชื่อว่าผู้ว่าการป้ายแดง จะมาช่วยเศรษฐกิจและค่าเงินให้กลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง ข่าวการลาออกของ Albayrak ช่วยให้ค่าเงินพุ่งขึ้นเฉลี่ยราว 10% ตลอดสัปดาห์แรกที่ผู้ว่าการ Agbal นั่งทำงาน ทั้งนี้ นักค้าเงินในตลาดบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ค่าเงิน Lira จะแข็งขึ้น เพราะที่ผ่านมา นาย Albayrak คอยพูดอยู่เสมอว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน Lira เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย อย่าไปสนใจมากนัก จึงทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่นค่าเงิน Lira หลังจากนาย Albaytak อำลาตำแหน่งรัฐมนตรีคลังอย่างฉุกเฉิน ประธานาธิบดี Erdogan ก็รีบแต่งตั้งคลังคนใหม่ เพื่อจะได้รีบทำงานร่วมกับผู้ว่าการแบงก์ชาติ Agbal ทันที นาย Lutfi Elvan อดีตรองนายกรัฐมนตรี กระวีกระวาดเข้าทำงานอย่างแข็งขัน และได้เปิดฉากแถลงข่าวร่วมกับผู้ว่าการ Agbal เพื่อสร้างความมั่นใจให้กลับคืนสู่ตลาดเงินโดยเร็ว

โดยทั้งคู่เน้นว่า ภารกิจแรกก็คือ การรักษาเสถียรภาพค่าเงิน Lira การป้องกันเงินเฟ้อ ซึ่งขณะนั้นตุรกีเจอพิษเงินเฟ้อถึง 12% สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเสียอีก อีกทั้ง นาย Agbal ไม่รีรอที่จะกล้าพูดว่าจะกำกับทิศทางดอกเบี้ยให้สะท้อนความเป็นจริงของตลาด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระบบเศรษฐกิจและการเงินตุรกี รวมถึงการเร่งรัดให้หน่วยงานด้านกำกับดูแลกฎเกณฑ์ทางการเงิน ผ่อนคลายให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายเงินตราต่างประเทศง่ายขึ้น เพื่อส่งสัญญาณให้แก่นักลงทุนต่างชาติได้รับรู้ว่า ทีมงานเศรษฐกิจใหม่ของตุรกี บริหารงานอย่างอิสระ ปราศจากแรงกดดันทางการเมือง

ประธานาธิบดี Erdogan เฝ้าสังเกตการณ์การทำงานของทีมงานเศรษฐกิจใหม่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการทำงานของผู้ว่าการ Agbal ที่ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นระยะๆ นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 เพื่อยับยั้งเงินเฟ้อ แม้ว่าผู้นำ Erdogan จะรู้สึกหงุดหงิด แต่ยังเก็บอาการ ทำอะไรไม่ได้ เพราะเคยบอกกับ Agbal ว่าจะให้แบงก์ชาติทำงานอิสระ อีกทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อค่าเงิน Lira และ การบริหารเศรษฐกิจ ก็ดูดีวันดีคืน อีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม การบริหารเศรษฐกิจไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูปที่กินง่ายๆ และบางทีผลงานของทีมงานชุดก่อน อาจเป็นระเบิดเวลาให้ทีมงานเศรษฐกิจชุดใหม่ ต้องคอยล้างคอยเช็ดผลกระทบข้างเคียง เป็นที่น่าสังเกตว่า เศรษฐกิจตุรกีในปี 2020 สามารถฝ่าวิกฤติโควิด ด้วยอัตราเติบโตราว 1.8% เป็นผลงานจากทีมเศรษฐกิจชุดก่อน ที่ใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและกระจายเงินลงทุนสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว ทั้งนี้ นาย Erdogan กำชับให้ธนาคารทั้งของรัฐและเอกชน ต้องปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้น ก็เตรียมเก็บกระเป๋าไปนอนที่บ้านหรือหางานใหม่

จึงไม่แปลกที่เศรษฐกิจตุรกี จะขยายตัวอย่างชัดเจนในปีที่แล้ว แต่ผลกระทบข้างเคียงที่ติดตามมาก็คือ เงินเฟ้อ และ ค่าเงิน Lira ผันผวน มาโดยตลอด ถึงแม้ผู้ว่าการ Agbal จะพยายามกดดันเงินเฟ้อให้ต่ำลงอย่างแข็งขัน และให้คำมั่นกับตลาดว่าจะกดอัตราเงินเฟ้อลงเหลือราว 5% ภายใน 3 ปี แต่การที่ปริมาณเงินจำนวนมากที่ทะลักสู่ตลาดในรอบปีที่แล้ว ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบงก์ชาติต้องใช้เวลาสะสางปริมาณเงินพวกนี้อย่างเป็นระบบ

น่าเสียดายในช่วงต้นปี 2021 กระแสข่าวต่างประเทศที่พากันวิตกว่าเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจจะปะทุขึ้นเร็วๆ นี้ โดยเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้มีการเทขายหลักทรัพย์ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงในตุรกี เพื่อไปลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯแทน

ความอ่อนไหวในตลาดเงินตุรกี ทำให้ผู้ว่าการ Agbal ต้องดำเนินมาตรการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อพยุงค่าเงิน Lira และดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศกลับมา ปรากฏว่า ประธานาธิบดี Erdogan เริ่มทนไม่ไหวกับมาตรการดอกเบี้ยแพง เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปมีกำหนดในปี 2023 แต่วงการเมืองคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า และผู้นำ Erdogan คงอยากเห็นเศรษฐกิจเติบโตไปเรื่อยๆ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ว่ากันว่า Erdogan มีความเชื่อมานานแล้วว่า การเกิดเงินเฟ้อ มาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะฉะนั้น การระงับเงินเฟ้อ ต้องหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น (อาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ได้ยินแล้วแทบล้มทั้งยืน)

ธนาคารกลางตุรกี มีมติเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 2% เป็น 19% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์กันไว้ จึงทำให้นาย Erdogan หมดความอดทน และ มีคำสั่งไล่ผู้ว่าการ Agbal ออกจากตำแหน่งในวันต่อมา ซึ่งเข้าทำงานได้เพียง 4 เดือนแค่นั้น แต่ก็มีผลงานที่ช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้แก่ค่าเงิน Lira และเศรษฐกิจตุรกีไม่น้อย

ถึงแม้ตลาดตุรกี จะคุ้นเคยกับการไล่ตะเพิดผู้ว่าการแบงก์ชาติของ Erdogan เพราะนาย Agdal ถือว่าเป็นคนที่ 3 ในรอบ 2 ปี แต่ถึงกระนั้น ตลาดเงินตุรกีก็ยังทำใจยาก สะท้อนได้จากค่าเงิน Lira ร่วงลงราว 15% เมื่อปรากฏข่าวอย่างเป็นทางการ ส่วนตลาดหุ้น ก็วินาศสันตะโรไม่แพ้กัน ต้องหยุดซื้อขายอัตโนมัติ 2 ครั้ง หลังเปิดตลาดเพียง 45 นาที ประธานาธิบดี Erdogan ดูเหมือนไม่แคร์อะไรอีกแล้ว กำชับให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในธนาคารกลาง เข้าแทรกแซงค่าเงิน Lira ตามสไตล์เดิมๆ โชคดีที่ช่วงการทำงานของผู้ว่าการ Agbal ได้ช่วยฟื้นฟูให้เงินกองทุนสำรองฯของประเทศเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้การพยุงค่าเงิน Lira ครั้งนี้ พอที่จะได้ผลขึ้นมาบ้าง

ประธานาธิบดี Erdogan พยายามผ่อนคลายความวิตกกังวลของตลาดและนักลงทุน จึงรีบแต่งตั้งผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่อย่างรวดเร็ว ได้แก่ นาย Sahap Kavcioglu ซึ่งเป็นมือกฎหมาย และเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับอดีตรัฐมนตรีคลัง Albayrak ผลงานของ Kavcioglu ด้านการเงินการธนาคารไม่ค่อยชัดเจน ยกเว้นเคยเป็นรองผู้จัดการธนาคารรัฐ Halkbank ในช่วงปี 2005-2015 อีกทั้งธนาคารแห่งนี้กำลังโดนทางการสหรัฐฯฟ้องร้องเกี่ยวกับคดีฟอกเงินอีกต่างหาก

จึงคาดเดาไม่ยากว่า ความน่าเชื่อถือเบื้องต้นที่มีต่อผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ล่าสุดของตุรกี Kavcioglu จะเป็นอย่างไร เพราะชาวตุรกีและนักลงทุน พอมองเห็นลางร้ายที่จะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง อาทิ การคืนสู่สังเวียนการเมืองและเศรษฐกิจของนาย Albayrak ลูกเขยสุดเลิฟของ Erdogan รวมถึง การปรับอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง เพื่อต้านเงินเฟ้อตามความเชื่อของ Erdogan และ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ Kavcioglu ก็ดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามเช่นกัน ถึงขนาดลงเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ เกี่ยวกับมาตรการดอกเบี้ยสูง เป็นชนวนให้เกิดเงินเฟ้อวุ่นวาย

บทเรียนเศรษฐกิจตุรกี ยังคงมีเรื่องราวที่น่าจะติดตามอีกเยอะ เพราะเป็นประเทศที่ควรจะก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็นประเทศก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าว แต่กลับถอยหลัง 2 ก้าว โดยเฉพาะการใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่สับสน สวนทางกับกูรูโลก แต่ในยุค New Normal ก็ควรเรียนรู้อะไรแปลกๆ ไว้บ้างก็ดี เผื่อความเชื่อพิลึกๆ อาจเหมาะกับยุคโควิดก็ได้?

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมุลจาก


Story