เงินเฟ้อญี่ปุ่นเดือน พ.ย. พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปีอยู่ที่ 3.7%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อศุกร์ (23 ธ.ค.) ว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี หลังบริษัทต่างๆ ยังคงส่งต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังครัวเรือน และอาจทำให้นโยบายการเงินผ่อนคลายที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้อยู่เผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ

.
ดัชนีราคาผู้บริโภคฟื้นฐาน (CPI) ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งไม่รวมอาหารสดที่ผันผวนแต่รวมค่าพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.7% จากปีก่อนหน้า เทียบกับการเพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนตุลาคม และนับเป็นการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2524 เนื่องจากราคาสินค้าหลากหลายประเภทตั้งแต่ไก่ทอด
สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเครื่องปรับอากาศยังพุ่งสูงขึ้น เป็นสัญญาณเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น
.
นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคพื้นฐานจะชะลอตัวลงใกล้กับเป้าหมาย 2% ของ BOJ ในปีหน้า เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดลงมา และผลกระทบจากการอุดหนุนของรัฐบาล เพื่อควบคุมราคาไฟฟ้าที่จะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่เรียกว่า "Core-Core" ซึ่งไม่รวมทั้งราคาอาหารสดและพลังงาน ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 2.8% จากปีก่อน เร่งขึ้นจาก 2.5% ของเดือนต.ค.
.
BOJ จับตาดูการเพิ่มขึ้นของดัชนี Core-Core อย่างใกล้ชิด ในฐานะมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ และการเพิ่มขึ้นของดัชนีนี้ เป็นการตอกย้ำว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อกำลังก่อตัวขึ้นในญี่ปุ่น และภาวะนี้น่าจะอยู่ต่อไปในปีหน้า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน โดยกรรมการหลายคนก็เริ่มพูดถึงการหันมาจัดการกับเงินเฟ้อและการเลิกนโยบายดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ
.
ในขณะที่ผู้ค้าปลีกหลายรายวางแผนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าอาหารในปีหน้า ทั้งนี้นักวิเคราะห์เห็นการปรับนโยบายการเงินใดๆ ของ BOJ อาจยุ่งยากมากขึ้น เพราะอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของภาวะถดถอยทั่วโลก และรวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้าง เป็นแรงกดดันให้ BOJ หันมาใช้มาตรการคุมเข้มทางการเงินแทนการผ่อนคลายอย่างมากที่ใช้อยู่ในขณะนี้
***********************************