ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘4แบงก์ใหญ่‘ เตือนรับความเสี่ยงปี69

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
75 views

‘4แบงก์ใหญ่‘ เตือนรับความเสี่ยงปี69 ดอกเบี้ย-เศรษฐกิจขาลง-หนี้เสียพุ่ง

By วิชชุลดา ภักดีสุวรรณ

 

  • ธนาคารไทยพาณิชย์ มองโจทย์แบงก์ ปีหน้าเผชิญแรงกดดันต่อรายได้จากดอกเบี้ยลดลงต่อ
  • ตามทิศทางดอกเบี้ยขาลงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
  • ธนาคารกรุงเทพ ห่วงกังวลความท้าทายจากปัจจัยระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน
  • ธนาคารกสิกรไทย ชี้ภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ซบเซาและผันผวนสูง ทำให้การเติบโตของสินเชื่อเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นสำหรับทุกแบงก์
  • ธนาคารกรุงไทย มองเศรษฐกิจข้างหน้า ยังมีความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

 

ปี 2569 จะเป็นอีกปีที่ต้องหลายธุรกิจจะต้องเผชิญกับ “ความท้าทาย” และ “ความเสี่ยง” ในหลายมิติ โดยเฉพาะ “ธุรกิจธนาคาร” (แบงก์) ที่อาจเจอแรงกดดันจาก “อัตราดอกเบี้ย” ที่อาจลดลง เศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การเติบโตของสินเชื่อและรายได้จากดอกเบี้ยไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา

ผู้บริหารธนาคารใหญ่ มีมุมมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารต้องบริหารสินทรัพย์อย่างรอบคอบ คัดกรองลูกค้าอย่างเข้มข้น และมุ่งสร้างรายได้จากช่องทางที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยให้เข้มแข็ง ควบคุมต้นทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินระยะยาว

รวมถึงจัดการหนี้เสียที่ยังเป็นโจทย์ท้าทายต่อเนื่องในปีหน้าที่แบงก์ต้องเผชิญ

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่าภาพรวมธุรกิจแบงก์ปีนี้ เชื่อธนาคารทุกแห่งต่างเห็นแรงกดดันจากทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูง และภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนให้เห็นชัดเจนในอัตราการเติบโตสินเชื่อแต่ละธนาคารที่ต่ำลง และหากดูภาพรวม P&Lหรืองบกำไรขาดทุนของระบบแบงก์

ส่วนใหญ่มาจากรายได้การลงทุน ส่งผลให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ดังนั้น การเติบโตจริง หรือ Real Growth ของรายได้ค่อนข้างจำกัด

สำหรับ ปีหน้าหากอัตราดอกเบี้ย และ Net Interest Margin หรือ NIM มีแนวโน้มลดลงอีก ขณะที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง รายได้จากดอกเบี้ยจะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญของทุกธนาคาร ส่วนโอกาสสร้างรายได้จาก Non-Interest Income หรือรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย นอกเหนือจากรายได้จากการลงทุน จะเป็นจุดที่ท้าทาย

โดยเฉพาะธนาคารที่มีขนาดเล็กกว่าหรือไม่มีธุรกิจขนาดใหญ่พอที่จะสร้างเครื่องมือและกลไกใหม่มาช่วยเสริมรายได้

ดังนั้น ธนาคารเองจึงจำเป็นต้องบริหารสินทรัพย์ให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้ปริมาณหนี้เสียเพิ่มมากจนเกินไป ทั้งต้องคัดกรองสินเชื่อให้มุ่งไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพเติบโต ที่สำคัญต้องสร้างรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยให้เป็นกำลังหลัก หากไม่สามารถทำได้ ความเสี่ยงปีหน้าจะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะยิ่งลดรายได้จากช่องทางหลักของธนาคาร

โฟกัสหลักของธนาคารปีหน้าอยู่ที่ 4 เรื่องสำคัญ ที่เชื่อว่าหลายธนาคารคงมีแนวคิดทิศทางเดียวกัน คือ 

1.ประหยัดต้นทุน บนการดูแลต้นทุนให้อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ 

2. สร้างเครื่องยนต์ใหม่ มุ่งสร้างรายได้จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย

โดยเฉพาะธุรกิจด้านเวลท์ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของหลายธนาคาร เช่นปีนี้ ธุรกิจเวลท์เติบโตไปแล้วเกือบ 20% และปีหน้าก็ตั้งเป้าเติบโตใกล้เคียงกัน

3.ดูแลและจัดการพอร์ตสินทรัพย์ให้แข็งแรง ปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงที่เกินคาด หรือปัจจัยเซอร์ไพรส์และกระทบต่อระบบ 

4. บริหารจัดการหนี้ เพื่อช่วยลดภาระในงบดุลแต่ละธนาคาร และเพิ่มความสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ในอนาคต เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว

แผนทั้งหมดนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และเพิ่งส่งให้คณะกรรมการธนาคารพิจารณา ส่วนการประกาศอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในปีหน้า

ปีหน้าภายใต้ความท้าทาย ธนาคารคงไม่สามารถตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อติดลบได้ เราจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มที่เข้มแข็งและมีศักยภาพสูง พร้อมเดินหน้าควบคุมต้นทุนอย่างใกล้ชิด บริหาร ROA ให้เป็นไปตามแผน คือ ระดับสองหลักต่อเนื่อง สำหรับสินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา เรารู้ดีว่าใครคือกลุ่มลูกค้าที่แข็งแรง และต้องมองภาพการเติบโตแบบครบวงจร และพร้อมต่อยอดบริการไปถึงลูกค้าปัจจุบัน เช่น อาจเชิญลูกค้าบ้าน 20 ล้านบาทของธนาคารให้ถือบัตรแพลตทินัม หรือเข้าสู่กลุ่มเวลท์ก็ได้

 

  • แบงก์กรุงเทพ”รับสงครามการค้าโจทย์ปีหน้า

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มองว่า ความท้าทายธุรกิจแบงก์และเศรษฐกิจโดยรวมปี 2569 ภายใต้การคาดว่าเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวต่อเนื่อง จากแนวนโยบายรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ที่มุ่งแก้ปัญหาพื้นฐานระบบเศรษฐกิจ ช่วยเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าปีหน้ายังมีความท้าทายที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะประเด็นระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน หรือสงครามการค้ายังเป็นเป็นปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจไทยและต่อธุรกิจ แม้เชื่อว่าท้ายที่สุดจะต้องมีข้อตกลงทางการค้าในระดับหนึ่งระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้การค้าระหว่างประเทศและการลงทุนขยายตัวมากขึ้น

นอกจากนี้ ความท้าทายภาคธนาคารยังมาจากปัญหา “หนี้เสีย” ที่ยังคงเป็นโจทย์ความท้าทายหลักปีนี้ และปีหน้า แม้สถานการณ์ไม่ต่างกับที่ผ่านมา แต่เชื่อว่า ไม่น่ามีปัจจัยใหม่ที่รุนแรงหรือสร้างแรงกระทบเหมือนที่เคยเจอเหมือนวิกฤติปี 2540 และเชื่อว่าธนาคารน่าจะบริหารจัดการได้ต่อเนื่อง

ด้านการบริหารต้นทุน ธนาคารยังคงยึดแนวทางบริหารจัดการอย่างมีวินัยและระมัดระวังเช่นเดิม เพื่อให้สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวได้

  • แบงก์กสิกรไทย”อยู่ในโหมดระมัดระวัง

นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าภาพรวมสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันไม่ได้เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ หรือภาคธนาคารเหมือนช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตดี

ดังนั้นปีนี้และปีหน้าจะเป็นช่วงเวลาท้าทายมากกว่าที่ผ่านมา เพราะหลายปัจจัยระดับมหภาคยังซบเซาและผันผวนสูง

ทั้งนี้ ภายใต้เศรษฐกิจโดยรวมที่อยู่ภาวะอึมครึม ธนาคารย่อมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สามารถเติบโตได้รวดเร็ว เหล่านี้ขึ้นอยู่กับจังหวะเศรษฐกิจมหภาค ดังนั้นการเติบโตสินเชื่อคงเป็นโจทย์ยาก

สำหรับแบงก์ แม้ธนาคารยังคงรักษามาตรฐานการปล่อยกู้ใกล้เคียงเดิม แต่จากปัญหาต่างๆ ทำให้ความสามารถด้านรายได้ของลูกค้าลดลง 

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค โดยปัจจัยภายนอกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะประเด็นโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้านที่สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้ทำให้สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจยากขึ้นไปอีกต่อเนื่องในปี 2569

สำหรับ ภาพรวมหนี้เสีย มองว่าจะเป็นโจทย์ที่ภาคธนาคารต้องเจอต่อเนื่องหลังจากนี้ เช่นเดียวกับอดีต ดังนั้น ธนาคารต้องเข้าไปช่วยเหลือให้ลูกค้ายืนหยัดต่อไปได้ในภาวะที่รายได้ลดลง โดยการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับลูกค้าเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถอยู่รอดไปด้วยกันในระยะยาว

  • เศรษฐกิจยังเผชิญความเปราะบาง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งส่งออกหมดลง ขณะเดียวกันยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้งความเปราะบางที่มีอยู่เดิม

โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูง และเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ การขาดความสามารถแข่งขันในโลกใหม่ และความท้าทายภาครัฐ ล้วนกดดันการเติบโตประเทศระยะยาว

ดังนั้น ธนาคารเน้นการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เน้นจัดการคุณภาพสินทรัพย์ รับมือความไม่แน่นอน ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ สนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเปราะบางที่มีหนี้สูง และรายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ นอกจากนั้น ธนาคารเดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อสำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการปรับตัวเพื่อให้สอดรับพลวัตโลก ตลอดจนสนับสนุนกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจ

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1207578

 


OVERMoney