เจาะพื้นฐานแนวโน้มธุรกิจ MINT
บนเส้นทางผลประกอบการที่ “เทิร์นอะราวด์”
.
ธุรกิจโรงแรม ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้คลี่คลาย และภาพรวมของการเปิดประเทศ รวมไปถึงการท่องเที่ยวกำลังจะกลับเข้าสู่สภาวะก่อนเกิดการระบาด
.
โดยธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เรียกได้ว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด หลังจากที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญและหลายฝ่ายจับตาดูว่าธุรกิจโรงแรมจะกลับมาฟื้นยืนแข็งแกร่งได้อีกครั้งหรือไม่
.
ดังนั้นเองในครั้งนี้ Wealthy Thai จึงขออนุญาตนำเสนอแนวโน้ม และมุมมองของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ของไทย ที่มีอาณาจักรธุรกิจโรงแรมตั้งอยู่ในโลเคชั่นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโลกหลายแห่ง รวมถึงมีเชนร้านอาหารขนาดใหญ่ตั้งกระจายเพื่อรองรับผู้บริโภคอย่าง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT
.
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาถึงแม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/66 ของ MINT มีผลขาดทุนสุทธิกว่า 975 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามย้อนหลังในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ MINT ยังคงสามารถยืนแข็งแกร่งต่อสู้ภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้จากย้อนหลังใน 1 เดือนราคาหุ้น MINT ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ติดลบ
.
โดยหากมองจากปัจจัยพื้นฐานของ MINT ดูเหมือนว่านักวิเคราะห์หลายจะประเมินปัจจัยพื้นฐานว่าแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 จะดีขึ้น จากปัจจัยบวกหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเข้าพักโรงแรมในยุโรป รวมไปถึงการรีแบรนด์ธุรกิจร้านอาหารอย่าง Pizza Company
.
ขณะที่ ผู้บริหารของ MINT ให้ข้อมูลใน Opportunity Day โดยมีใจความสำคัญ เช่น แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น ซึ่งได้หนุนจาก NH Hotel Group และธุรกิจอาหาร และจากการเข้าสู่ช่วง High season ที่ยุโรป
.
โดยในไตรมาส 2 ธุรกิจโรงแรมดีต่อเนื่อง จากท่องเที่ยวฟื้น การเดินทางเชิงธุรกิจ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีนที่พุ่งขึ้นอย่างมีนัย โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ส่วนรายได้กลุ่มร้านอาหารในประเทศไทยช่วงวันหยุดสงกรานต์สามารถทำยอดนิวไฮที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด ในขณะที่ประเทศจีนร้านอาหารดีต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะเห็นผลกำไร
.
สำหรับในมุมมองของนักวิเคราะห์ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/66 จะฟื้นตัวขึ้น และมีโอกาสที่จะพลิกกลับมามีกำไร
.
โดยบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 จะพลิกกลับมามีกำไรโดดเด่นหนุนจากไฮซีซั่นของ NHH ทำให้ Rev Par ปรับตัวขึ้นสูงกว่าก่อนโควิด 35% ชดเชยไทยที่เข้า Low Season แต่คาดดีกว่าก่อนโควิดเช่นกัน
.
ส่วนธุรกิจอาหารคาดยังเห็นยอดขายต่อสาขาเดิม ที่บวกแข็งแกร่งต่อเนื่องและต้นทุนวัตถุดิบและค่าไฟที่คลายตัวลงดังนั้นเบื้องต้นประเมินกำไรไตรมาส 2/66 ในกรอบ 1.5-2 พันล้านบาท เข้าใกล้ช่วงไตรมาส 2/63 ที่ระดับ 2.1 พันล้านบาท ส่วนประมาณการกำไรปกติปี 66 ปัจจุบันยังอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 172% จากปีก่อน
.
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) สะท้อนมุมมองและสรุปประเด็นสำคัญจากการไปพบกับผู้บริหารไว้ 4 ข้อหลัก ได้แก่ 1. รายได้ในปี 66 คงเติบโตดี และสูงกว่าระดับ Pre COVID-19 ทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหาร ส่วนด้านต้นทุนยังคงอยู่ในระดับสูงจึงคาดว่าเปอร์เซนของ EBITDA margin จะกลับไป Pre COVID-19ได้ในปี 67
.
2.สถิติในเดือนเม.ย. 66 สะท้อนให้เห็นว่าโรงแรมในยุโรป คงฟื้นตัวดีจาก high season ขณะที่รายได้ของธุรกิจอาหาร จะทำ all time high ดังนั้นจึงประเมินว่าในไตรมาส 2/66 ผลกำไรจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน และเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66 อีกทั้งเป็นไตรมาสที่ดีของ MINT
.
3.บริษัทเริ่มทำการ rebranding และ cross-selling ทั้งธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหาร สะท้อนแนวโน้มยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และ 4.งบลงทุนในปี 66 เร่งขึ้นเกือบเท่าตัว โดยคงเน้นไปที่การขยายโรงแรมในรูปแบบรับจ้างบริหารขณะที่ IBD/E ยังคุมได้และมีแนวโน้มลดลง
.
ดังนั้น จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 42 บาทต่อหุ้น และเลือก MINT เป็นTop pick ตอบรับกำไรปกติไตรมาส 2/66 จะฟื้นตัวดี และปัจจุบัน valuation น่าสนใจเมื่อเทียบกับกลุ่ม