ห้องเม่าปีกเหล็ก

การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
172 views

อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ของสหรัฐอเมริกาย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 1890 เมื่อ เฮอร์แมน ฮอลเลริท (Herman Hallerith) ประดิษฐ์เครื่องจัดระบบตัวเลขด้วยการ์ดเจาะ เพื่อลดเวลาการบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์การสำรวจสำมะโนประชากรของประเทศสหรัฐอเมริกา เครื่องจัดระบบตัวเลขของฮอลเลริททำให้การนับเพื่อสำรวจสำมะโนประชากรเสร็จเร็วกว่ากำหนดที่เคยทำมาในคราวก่อนถึงห้าปี 

จากนั้นไม่นาน ฮอลเลริทก็ออกจากสำนักงานสำมะโนประชากรไปจัดตั้งบริษัทเครื่องจัดระบบตัวเลข หรือ ทีเอ็มซี (Tabulating Machine Company: TMC) ซึ่งขายเครื่องจัดระบบตัวเลขให้แก่หน่วยงานของรัฐบาลในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ ตอนนั้นยังไม่มีตลาดที่แท้จริงในภาคธุรกิจสำหรับเครื่องมือของฮอลเลริท ซึ่งการคิดคำนวณข้อมูลทำได้โดยใช้ดินสอและสมุดบัญชีที่ง่าย ไม่แพง และถูกต้องแม่นยำ แม้ว่าเครื่องมือของฮอลเลริทจะรวดเร็วและแม่นยำ  แต่ก็มีราคาแพงและใช้งานยาก ต้องบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเจอคู่แข่งหลังจากสิทธิบัตรหมดอายุ และต้องเสียอารมณ์กับการที่รัฐบาลอเมริกันเลิกใช้ทีเอ็มซีของตน เนื่องจากมีราคาแพง ฮอลเลริทจึงขายบริษัท ซึ่งต่อมาได้ไปรวมกับอีกสองบริษัทใหญ่และตั้งเป็นบริษัทซีทีอาร์ในปี ค.ศ. 1911

เครื่องจัดระบบตัวเลข

ในปี ค.ศ. 1914 ธุรกิจการจัดระบบตัวเลขของซีทีอาร์ยังมีขนาดเล็กและพิสูจน์ไม่ได้  ด้วยความพยายามจะปรับเปลี่ยนบริษัทให้ดีขึ้น ซีทีอาร์ จึงได้หันไปขอความช่วยเหลือจาก โทมัส วัตสัน (Thomas Watson) อดีตผู้บริหารบริษัทเนชันแนล  แคช  ริจิสเตอร์ช่วยเหลือ วัตสันมองเห็นว่ามีความต้องการเครื่องจัดระบบตัวเลขที่จะใช้ช่วยให้ธุรกิจพัฒนาขึ้น ทั้งด้านการจัดหมวดหมู่และการทำบัญชี ซึ่งยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อีกมาก และรู้อีกว่าเทคโนโลยีใหม่ที่ใหญ่และอุ้ยอ้ายนี้ราคาแพง  และซับซ้อนเกินไปสำหรับธุรกิจ ขณะที่ดินสอกับสมุดบัญชียังใช้การได้ดีอยู่

ในการเคลื่อนที่เชิงกลยุทธ์เพื่อเริ่มธุรกิจคอมพิวเตอร์ วัตสันได้รวมความแข็งแกร่งของเครื่องจัดระบบตัวเลขเข้ากับการใช้งานง่ายและราคาที่ถูกกว่าของดินสอกับสมุดบัญชี ภายใต้การนำของวัตสัน เครื่องจัดระบบตัวเลขของซีทีอาร์จึงถูกทำให้ง่ายและทำเป็นหน่วยย่อย ต่อมาบริษัทก็เริ่มให้บริการบำรุงรักษาเครื่องตามสถานที่ใช้งาน รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจและแก้ไขความผิดพลาด ลูกค้าจะได้รับความรวดเร็วและประสิทธิภาพของเครื่องจัดระบบตัวเลขโดยไม่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาฝึกสอนพนักงาน  หรือช่างให้คอยซ่อมเครื่องเมื่อเสียแต่อย่างใด

ขั้นต่อไป วัตสันประกาศว่า จะให้เช่าเครื่องจัดระบบตัวเลขนี้และไม่ขาย  เป็นการคิดริเริ่มที่ช่วยจัดรูปแบบการกำหนดราคาใหม่สำหรับธุรกิจเครื่องจัดระบบตัวเลข อีกด้านหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ธุรกิจไม่ต้องลงทุนด้วยเงินก้อนโต ขณะเดียวกันก็มีความยืดหยุ่นที่จะยกระดับ เมื่อเครื่องจัดระบบตัวเลขได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนอีกด้านก็ช่วยให้ซีทีอาร์มีกระแสรายได้หมุนเวียน ขณะที่ลูกค้าเดิมก็สามารถใช้เครื่องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันได้

ภายในหกปี รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่า ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1920 ซีทีอาร์ก็ครองตลาดเครื่องจัดระบบตัวเลขในสหรัฐอเมริกาถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ในปี ค.ศ. 1924 วัตสันเปลี่ยนชื่อซีทีอาร์เป็นบริษัท เครื่องจักรทางธุรกิจนานาชาติ (International Business Machines Corp หรือ ไอบีเอ็ม: IBM)  แล้วน่านน้ำสีครามของเครื่องจัดระบบตัวเลขก็ถูกเปิดออก

คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์             

หมุนเวลาไปข้างหน้า 30 ปี คือปี ค.ศ. 1952 เรมิวตัน แรนด์ได้เสนอ ยูนิแวค คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการค้าเครื่องแรกของโลก ให้แก่ สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากร แต่ในปีนั้นขายเครื่องยูนิแวคได้เพียงสามเครื่อง และยังมองไม่เห็นน่านน้ำสีครามจนกระทั่งวัตสันของไอบีเอ็ม  แต่คราวนี้เป็นลูกโทมัส วัตสัน จูเนียร์ เห็นความต้องการที่ยังไม่ได้ปลดปล่อย  ซึ่งตอนนั้นดูเหมือนเป็นตลาดเล็กและซึมเซา วัตสัน จูเนียร์ ตระหนักว่าคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สามารถมีบทบาทสำคัญในธุรกิจ จึงผลักดันไอบีเอ็มให้รับความท้าทายนี้

ในปี ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็มแนะนำ ไอบีเอ็ม 650 คอมพิวเตอร์ขนาดกลางเครื่องแรกสำหรับใช้งานทางธุรกิจ เมื่อตระหนักว่า ถ้าจะให้ภาคธุรกิจใช้คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอก็ต้องไม่ทำให้เครื่องซับซ้อน และให้ผู้จ่ายเงินเฉพาะเมื่อใช้เครื่องทำงานเท่านั้น ไอบีเอ็มจึงทำให้เครื่องไอบีเอ็ม 650 สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น และมีพลังงานน้อยกว่ายูนิแวค ทั้งยังได้ตั้งราคาไว้เพียง 200,000 ดอลลาร์ เปรียบเทียบกับป้ายราคาของยูนิแวค 1 ล้านดอลลาร์ ผลก็คือเมื่อสิ้นทศวรรษที่ 50 ไอบีเอ็มตลาดคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ธุรกิจไว้ได้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ รายได้เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าระหว่างปี ค.ศ. 1952 ถึงปี ค.ศ 1959 จาก 412 ล้านดอลลาร์ไปถึง 1.16 พันล้านดอลลาร์

การขยายตัวน่านน้ำสีครามของไอบีเอ็มเกิดขึ้นอย่างมากในปี ค.ศ. 1964 ด้วยการแนะนำระบบ 360 คอมพิวเตอร์สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่เครื่องแรกที่ใช้ซอฟต์แวร์ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ มีอุปกรณ์ข้างเคียงและมีชุดบริการประกอบ นับเป็นการก้าวอย่างกล้าหาญออกจากเมนเฟรมขนาดมหึมาที่ใช้ได้กับทุกสิ่งได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 ไอบีเอ็มก็ได้เปลี่ยนวิธีการขายคอมพิวเตอร์เสียใหม่ แทนที่จะนำเสนอฮาร์ดแวร์ การบริการต่างๆและซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์เป็นชุด ไอบีเอ็มได้แยกส่วนประกอบและเสนอขายแยกกัน ซึ่งการแยกส่วนนี้ทำให้เกิดธุรกิจซอฟต์แวร์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ทุกวันนี้ไอบีเอ็มคือบริษัทที่ให้บริการด้านคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดด้วย

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ไอบีเอ็ม ดิจิทัล อีควิบเมนต์ คอร์ปอเรชัน (ดีอีซี) สเปอร์รีย์ และบริษัทอื่นๆ ที่กระโดดเข้ามาในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ขยายการปฏิบัติไปทั่วโลก  และปรับปรุงรวมทั้งขยายสายการผลิตเพื่อเพิ่มอาณาบริเวณและตลาดการบริการ กระนั้นในปี ค.ศ. 1978 เมื่อผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายหลักมุ่งเน้นการผลิตเครื่องจักรที่ใหญ่ขึ้น มีพลังมากขึ้นสำหรับตลาดธุรกิจ บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้สร้างพื้นที่ใหม่ในตลาดใหม่ทั้งหมดด้วยการผลิต แอปเปิล II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ใช้ในบ้าน  

อย่างไรก็ตาม แอปเปิลไม่ใช่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายแรกในตลาดที่เคยคิดกัน สองปีก่อนหน้านี้ บริษัท ไมโคร อินสตรูเมนเทชั่น และเทเลเมทรี ซิสเต็ม (เอ็มไอทีเอส) เปิดตัวเครื่อง อัลแทร์ 8800ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของกลุ่มผู้เล่นคอมพิวเตอร์สมัครเล่นเป็นอย่างมากนิตยสาร บิสสิเนส วีค รีบเรียก เอ็มไอทีเอส ว่าเป็น ไอบีเอ็มของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในบ้าน”

แต่เอ็มไอทีเอส ไม่ได้สร้างน่านน้ำสีคราม ทำไม? ก็เพราะเครื่องที่ว่านี้ไม่มีจอภาพ ไม่มีระบบความจำที่ถาวร มีเพียงระบบความจำชั่วคราวเพียง 256 ลักษณะ ไม่มีซอฟต์แวร์ และแป้นพิมพ์ เพื่อจะเข้าถึงข้อมูล  ผู้ใช้จะใช้สวิตซ์ควบคุมที่อยู่หน้ากล่อง และผลของโปรแกรมจะแสดงในรูปแบบของไฟกะพริบบนแผงด้านหน้า คงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดสำหรับคอมพิวเตอร์ใช้งานยากเครื่องนี้ไม่ค่อยกว้างขวางนัก ความคาดหวังตอนนั้นต่ำ จนในปีเดียวกันนั้น เคน โอลเว็น (Ken Olsen) ประธานของดิจิทัล อีควิบเมนท์ได้กล่าวไว้อย่างเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนจะใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านเลย”

สําหรับ อัลแทร์ 8800 เปิดตัวใน ปี ค.ศ 1975 และเป็นแรงบัลดาลใจให้ Bill Gates พัฒนา Software จนก่อตั้ง Microsoft ในเวลาต่อมา       

สองปีจากนั้น แอปเปิล II คงจะทำให้โอลเซ็นต้องกลืนน้ำลายตัวเองด้วยการสร้างน่านน้ำสีครามของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ภายในบ้าน  แอปเปิล II ใช้ฐานเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่แล้ว นำเสนอทางออกด้วยการออกแบบเป็นแป้นพิมพ์พลาสติกที่ใช้งานได้ทุกอย่างในเครื่องเดียวกัน โดยเป็นทั้งแป้นพิมพ์ แหล่งพลังงาน และภาพ ซึ่งใช้งานง่าย แอปเปิล II มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่มีตั้งแต่เกมจนถึงโปรแกรมทางธุรกิจ เช่น เวิร์ดโปรเซสเซอร์ ของแอปเปิล และวิสีคาลล์ สเปรดชีท (Visicale spreadsheet) ทำให้คอมพิวเตอร์เข้าถึงผู้ซื้อกลุ่มใหญ่ได้

แอปเปิลเปลี่ยนวิถีที่คนคิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำหรับพวก “หนอน” เทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กลายเป็นเหมือนรถโมเดลทีก่อนหน้านี้ คือเป็นแก่นในครัวเรือนของคนอเมริกัน แค่ชั่วสองปีที่ แอปเปิล II กำเนิด ยอดขายที่พุ่งขึ้นกว่า 200,000 เครื่องต่อปี และเมื่อแอปเปิลมีอายุได้สามปี ก็ได้รับการจัดลำดับจากนิตยสารฟอร์จูนให้เป็น 1 ใน 500 บริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในปี ค.ศ. 1980 บริษัทร่วมยี่สิบสี่แห่งขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้กว่า 724,000 เครื่อง ทำเงินกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันล้านดอลลาร์ ในปีถัดไป มีบริษัทเข้าสู่ตลาดอีกประมาณยี่สิบแห่ง และยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 1.4 ล้านเครื่อง ทำเงินเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์

ไอบีเอ็มเหมือนม้าที่ควบตาม คือหยุดรอช่วงสองปีแรกเพื่อศึกษาตลาดและเทคโนโลยี  กับเพื่อวางแผนเปิดตัวคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในบ้าน ในปี ค.ศ. 1982 ไอบีเอ็มขยายน่านน้ำสีครามของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในบ้านออกไป ด้วยการเสนอสถาปัตยกรรมที่เปิดมากขึ้น ช่วยให้คนอื่นได้เขียนซอฟต์แวร์และพัฒนาองค์ประกอบที่เกี่ยงข้อง ด้วยการสร้างระบบปฏิบัติการที่คนนอกสามารถสร้างซอฟต์แวร์และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องได้นี้ไอบีเอ็ม จึงทำให้ต้นทุนและราคาต่ำ ในขณะที่ลูกค้าได้ประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ประโยชน์ด้านขนาดและขอบเขตของบริษัทก็ช่วยให้กำหนดราคาพีซีไว้ในระดับที่ผู้ซื้อกลุ่มใหญ่สามารถซื้อหาได้ ในช่วงปีแรก ไอบีเอ็มขายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ 200,000 เครื่อง เกือบเท่ากับเป้าที่ตั้งไว้สำหรับห้าปี เมื่อถึง ค.ศ. 1983 ผู้บริโภคก็ซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของไอบีเอ็มไปแล้วถึงหนึ่งล้านสามแสน

เครื่องพีซีเซิร์ฟเวอร์ของคอมแพ็ค

เมื่อองค์กรต่างๆทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาซื้อและติดตั้งพีซีทั่วทั้งองค์กรจึงเกิดความต้องการมากขึ้นที่จะเชื่อมโยงพีซีสำหรับภารกิจที่เรียบง่ายแต่สำคัญ เช่น การใช้ข้อมูลและเครื่องพิมพ์ร่วมกัน อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ธุรกิจเริ่มเกิดขึ้นเพราะไอบีเอ็ม 650 และมีบริษัทที่กระโดดเข้ามาร่วมวงยกตัวอย่างบางส่วนได้แก่ เอชพี, ดีอีพี, และ ซีเควนท์ ซึ่งเสนอระบบการทำงานในองค์กรด้านตลาดบน เพื่อให้บริษัทดำเนินการกับกิจกรรมสำคัญ ขณะเดียวกันก็มีระบบปฏิบัติการ และซอฟต์แวร์จำนวนมาก สำหรับใช้งานทว่าเครื่องจักรนี้ราคานี้ราคาแพงเกินไป และซับซ้อนเกินกว่าจะนำมาใช้ในเรื่องง่ายๆทว่าเป็นความจำเป็นสำคัญ เช่น การใช้ไฟล์และเครื่องพิมพ์ร่วมกันโดยเฉพาะในบริษัทขนาดกลางและเล็กที่จำเป็นต้องใช้เครื่องพิมพ์และไฟล์ร่วมกัน แต่ยังไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดใหญ่กับสถาปัตยกรรมมินิคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน

ในปี ค.ศ. 1992 คอมแพ็คได้เปลี่ยนทั้งหมดนี้ด้วยการสร้างน่านน้ำสีครามของอุตสาหกรรมพีซีเซิร์ฟเวอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเสนอโปรซิคเนีย (ProSignia) ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ทำให้การใช้ไฟล์เครื่องพิมพ์ร่วมกันเป็นไปได้อย่างง่ายดายไม่น่าเชื่อ เครื่องนี้ขจัดอุปสรรคในการทำงานร่วมกันด้วยการให้มีโฮสต์ของระบบปฏิบัติการ ตั้งแต่ เอสซีโอยูนิก (SCO UNIX) ไปจนถึง โอเอส/3 (OS/3) และดอส (DOS) ซึ่งอยู่นอกการปฏิบัติการพื้นฐานเหล่านี้ พีซีเซิร์ฟเวอร์ใหม่ให้พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่ามินิคอมพิวเตอร์ถึงสองเท่า และมีความเร็วได้ถึงหนึ่งในสามของราคาส่วนของคอมแพ็คนั้น เครื่องจักรที่ถูกทำให้ใช้ง่ายอย่างยิ่งนี้ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลงมาก การสร้างโปรซิคเนียของคอมแพ็คและอีกสามแบบที่ตามมาในอุตสาหกรรมพีซีเซิร์ฟเวอร์ ไม่เพียงแค่กระตุ้นยอดขายของพีซีเท่านั้น แต่ยังทำให้อุตสาหกรรมพีซีเซิร์ฟเวอร์เติบโตขึ้นถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึงสี่ปีอีกด้วย

เดล คอมพิวเตอร์

กลางทศวรรษที่ 1990 เดล คอมพิวเตอร์คอร์ปอร์เรชั่น (Dell Computer Corporation) สร้างน่านน้ำสีครามอีกผืนหนึ่งในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ในวิถีปฏิบัติแบบดั้งเดิมนั้น ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จะแข่งขันเสนอเครื่องที่เร็วกว่า มีการใช้งานหลากหลายและมีซอฟต์แวร์มากกว่า แต่เดลท้าทายตรรกะของอุตสาหกรรมนี้ด้วยการเปลี่ยนประสบการณ์การซื้อและการนำส่งของผู้ซื้อ ด้วยการขายตรงให้แก่ลูกค้า ทำให้เดลสามารถขายเครื่องพีซีของตนในราคาที่ต่ำกว่าไอบีเอ็มได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยังทำเงินได้เท่าเดิม

การขายตรงเช่นนี้เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า  เพราะเดลเสนอเรื่องเวลานำส่งที่ไม่ธรรมดา ตัวอย่างเช่น เวลาที่ใช้ตั้งแต่เริ่มสั่งไปจนถึงนำส่งให้ลูกค้า เดลใช้เวลาสี่วัน เทียบกับของคู่แข่งที่ใช้เวลาโดยเฉลี่ยกว่าสิบสัปดาห์   นอกจากนี้ด้วยระบบการสั่งแบบออนไลน์และทางโทรศัพท์ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกที่จะทำเครื่องตามความต้องการของตน ในเวลาเดียวกันรูปแบบประการประกอบตามสั่งทำให้เดลลดค่าใช่จ่ายในการเก็บสต็อกไปได้มาก

ทุกวันนี้ เดลเป็นผู้นำตลาดด้านการขายพีซีโดยไม่มีใครโต้แย้ง ส่วนยอดขายก็พุ่งทะยานจาก 5.3 พันล้านดอลลาร์ ในปี ค.ศ. 1995 ไปถึง 35.5 พันล้านดอลลาร์ ในปี ค.ศ. 2003  ส่วนแบ่งตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเติบจาก 2 เปอร์เซ็นต์ไปเป็นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเดียวกัน

เช่นดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ น่านน้ำสีครามในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ไม่ได้ถูกปลดปล่อยด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่ด้วยการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับองค์ประกอบที่ผู้ซื้อเห็นคุณค่า เช่นในกรณีของไอบีเอ็ม 650 และ พีซีเซิร์ฟเวอร์ของคอมแพ็ค การคิดริเริ่มทางคุณค่ามักจะอยู่บนพื้นฐานของการทำเทคโนโลยีให้ง่าย  และเราก็ได้เห็นผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมแล้ว ทั้งซีทีอาร์ ไอบีเอ็ม และคอมแพ็ค – ล้วนเป็นผู้เริ่มน่านน้าสีครามมากพอๆ กับการที่เราได้เห็นผู้มาใหม่ เช่น แอบเปิลและเดล น่านน้ำสีครามแต่ละแห่งเสริมแบรนด์ที่มีอยู่แล้วในตลาด  และนำไปสู่การเติบโตที่สร้างผลกำไรให้แก่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ในภาพรวม         

       หมายเหตุ : ที่มาจาก Blue Ocean Strategy เขียนโดย W. Chan Kim และ Renee’ Mauborgne แปลโดย ศิริวรรณ                           

 


ศักดิ์