ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปอย่างมาก เช่น
- เปิดรับเทคโลยีใหม่ ๆ
- เข้าถึงอินเทอร์เน็ตทุกที่ทุกเวลา
- ชอบพูดคุยสื่อสาร
- ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ
- ความอดทนต่ำ ไม่ชอบรอ
- ยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อความสะดวกสบายที่มากกว่า
ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนัก ๆ ผู้คนต้องกักตัวอยู่ในบ้านกันส่วนใหญ่ บีบบังคับให้ผู้คนต้องหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น เรียกได้ว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือแบบมีหน้าร้าน ถูกดิสรัปต์ครั้งใหญ่ทั้งจากเทคโนโลยีโดยตรงและผลพวงจากเทคโนโลยีที่ทำให้การเติบโตของ online shopping ในตลาดค้าปลีกพุ่งทะยานควบคู่ไปกับบริการเดลิเวอรี่หรือส่งของถึงบ้าน การทำค้าปลีกรูปแบบเดิม คือขายผ่านหน้าร้านอย่างเดียวจึงมีโอกาสรอดได้น้อยลงทุกขณะ
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกลุ่มค้าปลีกที่ยังคุ้นชินอยู่กับรูปแบบการขายออฟไลน์แบบเดิม โดยเฉพาะผู้ประกอบการในต่างจังหวัด ต้องเร่งปรับตัว โดยพัฒนาช่องทางการขายในลักษณะผสมผสาน เชื่อมโยงช่องทางการขายแบบออฟไลน์เข้ากับช่องทางการตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์และทางเลือกใหม่ในการซื้อสินค้าให้กับลูกค้าหรือผู้บริโภค
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ช่วยได้คือ ต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวก อาทิ
- ระบบบริหารร้านค้า เพื่อให้สามารถบอกได้ว่า ในแต่ละวันขายอะไรไปบ้าง ยอดขายเท่าไร สินค้า ตัวไหนขายดี ช่วงเวลาไหนขายดี รายละเอียดเกี่ยวลูกค้า หรือสินค้าตัวไหนจะต้องสั่งซื้ออีก ฯลฯ
- ระบบการชำระเงิน เช่น ผ่านโมบายแอปพลิเคชัน การชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมเชิงพาณิชย์ผ่านสมาร์ทโฟน, บัตรเครดิต, e-money, Prompt Pay, QR Code
- การประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ อย่าง Line Official ที่จะมีการเตือนผู้บริโภคเมื่อมีสินค้าหรือโปรโมชันใหม่ๆ ของทางร้าน หรือการทำโฆษณาผ่านทาง Facebook ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเห็นหรือเข้าถึงร้านค้าของเราได้เร็วขึ้น เป็นต้น
- เพิ่มบริการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค เช่น การจัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้า การรับเปลี่ยนคืนหรือซ่อมแซมสินค้า เมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกิดขึ้นกับผู้บริโภค ผ่านหลากหลายช่องทาง อาทิ ทางโทรศัพท์ อีเมล โซเชียลมีเดีย เป็นต้น
- สร้างกิมมิค (Gimmick) เพื่อดึงความสนใจให้คนจดจำและเกิดการบอกต่อ หรือสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น เช่น บัตรสมาชิก บัตรสิทธิประโยชน์หรือบัตรสะสมแต้ม การให้ลูกค้า Check in ที่ร้านเพื่อแลกรับสิทธิประโยชน์ เป็นต้น
สำหรับร้านโชห่วยเล็ก ๆ ตามชุมชนก็สามารถปรับตัวนำเทคโนโลยีตลอดจนคำแนะนำข้างต้นมาปรับใช้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
ที่สำคัญคือ ควรสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ผ่านศักยภาพขององคกรใหญ่ ๆ เช่น
- เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
- ตู้ชำระเงิน
- ระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ
- บริการชำระเงินค่าบริการต่าง ๆ
- เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายใน บัตรสวัสดิการของรัฐ
นอกจากนี้ยังต้องปรับปรุงทางกายภาพของร้านค้า เช่น
- ปรับเปลี่ยนการจัดวางสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ สะอาด สว่าง โล่ง หยิบจับง่าย
- เติมสินค้าต่อเนื่องอย่าให้ขาด และ
- ควรเพิ่มระบบบริหารจัดการสินค้า เพื่อให้รู้ว่าอะไรควรขายพ่วงกันเพื่อเพิ่มยอดซื้อ ลูกค้าจะได้ซื้อสินค้าได้ครบจบในร้านเดียว
- สินค้าบางอย่างสามารถใช้เทคโนโลยีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเข้ามาช่วยได้ เพื่อจำหน่ายในช่วงเวลากลางคืน โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนเฝ้าร้าน เพิ่มกล้องวงจรปิด ระบบความปลอดภัย ป้องกันสินค้าสูญหาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทุกการปรับเปลี่ยนหมายถึงต้นทุน ทั้งต้นทุนที่เป็นตัวเงินที่ต้องลงทุน ต้นทุนทางเทคโนโลยี ต้นทุนด้านบุคลากร ฯลฯ เอสเอ็มอีและโชห่วยมักพบปัญหาเหล่านี้ ทางออกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ แสวงหาความร่วมมือกับองค์กรหรือหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือด้านนี้ เช่น เข้าร่วมโครการพี่จูงน้อง เพื่อรับคำแนะนำและการสนับสนุนต่าง ๆ เพราะในยุคนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกแบบดั้งเดิมทั้งรายใหญ่และเล็ก ซึ่งอยู่ในห่วงโซ๋อุปทานเดียวกัน ต้องเผชิญปัญหาในรูปแบบเดียวกัน จึงไม่ใช่ศัตรูคู่แข่งกันอีกต่อไป ความอยู่รอดของผู้ประอบการค้าปลีกทุกขนาด นอกจากจะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว ยังต้องจับมือกันเดิน พึ่งพาอาศัยกัน เป็นแรงให้กันสู้กับระบบค้าปลีกออนไลน์ เพื่ออยู่รอดไปด้วยกัน
-----------------
ที่มา: OKNATION