ทรีนีตี้ ชี้เป้าหุ้น 5 ธีม Let profit run จังหวะสอยเข้าพอร์ต SET ต่ำกว่า 1,640 จุด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ มีมุมมองต่อทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เดือนมกราคม 2566 คาดการณ์ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,620-1,700 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือครองหุ้นเพื่อ Let profit run (การปล่อยให้กำไรเติบโตแบบทบต้นไปเรื่อยๆ)
สำหรับหุ้นที่ได้เข้าซื้อช่วงดัชนีต่ำกว่าระดับ 1,640 จุด โดยการถือครองยังคงเน้นไปที่ธีมการลงทุนประจำไตรมาส 1 ได้แก่ 1. กลุ่ม Domestic cyclical ที่อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ GLOBAL, PLANB, SC, STEC 2. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวและราคายังคงปรับตัว Laggard ได้แก่ กลุ่ม PF&REIT 3. กลุ่ม Anti-Commodity ที่ได้ประโยชน์จากราคาโภคภัณฑ์ขาลง ได้แก่ GPSC 4. กลุ่ม Counter Cyclical เพื่อ Hedging พอร์ตหากเศรษฐกิจชะลอเร็วกว่าคาด ได้แก่ JMT และ 5. กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่เข้าสู่ High season ได้แก่ ADVANC, SCC, TISCO
ทรีนีตี้ ประเมินทิศทางหุ้นไทยในช่วงเดือนมกราคมยังไม่มีอะไรน่ากังวลใจมากนัก โดยแรงกดดันที่จะเกิดขึ้นจากการไถ่ถอนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) นั้นมองว่าไม่มีนัยสำคัญ โดยน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท หลังนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีการเข้าซื้อกองทุนนี้ในปี 2017 ยังคงประสบผลขาดทุนอยู่ จึงอาจจะไม่ได้มีแรงจูงใจในการขายมากนัก
ในส่วนของปัจจัยกระตุ้นอื่น มองไปยังมาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ ที่น่าจะช่วยเข้ามาสร้างสีสันให้กับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้บ้าง ส่วนทางภาคการคลังสหรัฐฯ จับตาความคาดหวังของนักลงทุนเชิงบวกต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ภายหลังจากการเข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการของ Congress ชุดใหม่ ซึ่งมีการเปลี่ยนขั้วเสียงข้างมากจากพรรคเดโมแครตไปเป็นรีพับลิกัน
สำหรับการประชุมธนาคารกลางในเดือนมกราคมนี้ จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 มกราคม ซึ่งหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ไปอยู่ที่ 1.50% ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจ หรือเซอร์ไพรส์ ให้กับตลาดแต่อย่างใด
ส่วนปัจจัยที่น่าติดตามระยะสั้นได้แก่ รายงานตัวเลขภาคการผลิตของประเทศสำคัญต่างๆที่ดูเหมือนจะออกมาอ่อนแอมากขึ้น เปิดความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วงถัดไป รวมถึงรายงานตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯประจำเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งมีโอกาสเป็นตัวกำหนดแผนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในช่วงถัดไป โดยเฉพาะหากตัวเลขจริงออกมาทรงตัวหรืออ่อนแอจากเดือนก่อน เนื่องจากจะเป็นการยืนยันถึงแผนการลดความเร็วการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงถัดไปได้