ทันหุ้น – “อนุทิน” เชื่อมั่น CPH เซ็น TOR รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน 15 ตุลาคม ลั่นหากไม่มาขึ้น Blacklist ยกกลุ่ม BEM-CK- ITD โดนด้วย นักวิเคราะห์ชี้ STEC ชิงความได้เปรียบในกลุ่มรับเหมาเต็มๆ ด้านหยวนต้า เชื่อปลายปีงานค้างทยอยออก แต่ให้จับตาการแข่งขัน ชู CK-STEC น่าสนใจ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี แสดงทรรศนะส่วนตัว เชื่อมั่นว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร หรือกลุ่ม CPH ผู้ชนะการประมูลโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้ามาลงนามสัญญารับงานภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 นี้อย่างแน่นอน โดยรัฐบาลได้ดำเนินการตามร่างสัญญาร่วมทุน (TOR) ส่งมอบพื้นที่ 50% แล้ว จะให้ส่งมอบพื้นที่ครบ100% ไม่ได้ ทั้งนี้คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศว่ากลุ่ม CPH เป็นผู้ชนะโครงการตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2561 ให้ราคาต่ำกว่าคู่แข่ง 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดอายุข้อเสนอรวมถึงวันยืนราคา 7 พฤศจิกายน 2562
“การดำเนินการให้ CPH มาเซ็นรับงาน ถือเป็นการทำเพื่อชาติ เพราะถ้ารถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยังคาราคาซังกันอยู่ จะทำให้ลดทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนที่จะมาลงทุนใน EEC ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบข้อตกลง”
ขู่ Blacklist ยกกลุ่ม
นายอนุทิน ระบุอีกว่า หากกลุ่ม CPH ไม่มาลงนามตามกำหนด จะโดนขึ้นบัญชี (Blacklist) จากภาครัฐบาล ทำให้เสียชื่อบริษัท ยิ่งกว่านั้น กลุ่มบริษัทที่ร่วมทุนทั้ง บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM} บริษัท ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชั่น จำกัด, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, และ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ก็จะได้รับผลกระทบในการประมูลงานรัฐในอนาคตด้วย
ด้านนายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ไม่ว่า CPH จะเซ็นสัญญาหรือไม่ ก็มีแนวโน้มส่งผลดีต่อ STEC ที่จะมีการโอกาสทั้ง 2 ทาง โดยหาก CPH เซ็นสัญญา ก็จะทำให้กลุ่มผู้รับเหมาซึ่งเป็นพันธมิตรทั้ง CK และ ITD ต้องเร่งดำเนินงานโครงการใหญ่ อาจจะกระทบกับการประมูลงานอื่นๆ ได้ ดังนั้น STEC จะได้เปรียบในการประมูลงานอื่น แต่ถ้าหากไม่ได้เซ็นสัญญาก็จะมีการขึ้นบัญชีดำจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรับงานของ CK และ ITD ต่อไป
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างต้อพึ่งพาเมกะโปรเจตของภาครัฐบาลเป็นหลัก เนื่องจากกลุ่มโครงการมิกซ์ยูสของภาคเอกชนชะลอออกไป แต่เชื่อว่าภาครัฐมีแนวโน้ม “ทยอย” เปิดประมูลโครงการ “ค้างท่อ” ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องพิจารณา “ผลตอบแทนโครงการ” (IRR) ประกอบด้วย เพราะหากปริมาณงานที่ทยอยออกมาน้อยบรรยากาศการแข่งขันก็มีแนวโน้มรุนแรง จากปริมาณงานในมือ (Backlog) ของแต่ละบริษัทที่ทยอยลดลง
ชู CK, STEC เป็น Top pick
ฝ่ายวิเคราะห์เลือก CK, STEC เป็น Top pick เนื่องจากอยู่ในกลุ่มรับเหมาขนาดใหญ่ โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 กำไรขั้นต้น (Margin) ของ STEC จะมีโอกาสฟื้นตัวจากงานโรงไฟฟ้าที่อำเภอ ศรีราชา และ อำเภอจะนะ ที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้ ซึ่งยังอยู่ในกรอบ 6% ใกล้เคียงที่ประมาณการ ขณะที่การรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม-ชมพู-เหลือง ยังคงเพิ่มขึ้นตามความคืบหน้าของงาน ปัจจุบัน STEC มี Backlog สูงถึง 9.3 หมื่นล้านบาท บริษัทยังคงมุ่งหวังเพิ่มงานใหม่ โดยเข้าประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง เช่น โครงการสนามบินอู่ตะเภา (ประมูลร่วมกับพันธมิตร) มีวงเงินเป็นงานก่อสร้างราว 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกมีวงเงินก่อสร้างราว 2 หมื่นล้านบาท และคาดหวังได้รับงานอื่นจากภาคเอกชนจากกลุ่ม Commercial Building ราว 3-4 พันล้านบาท คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2563 ที่ 24.80 บาท (อ้างอิง PBV -0.50 ที่ 3.16เท่า)
ด้าน CK มีความเสี่ยงเรื่องประมาณงานในมือเหลือเพียง 3.8 หมื่นล้านบาท แต่ยังได้รับผลงานจากบริษัทลูก และCK มีงานที่เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดและอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา โดยมีวงเงินโดยรวมที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เช่นงานทางด่วนพระราม 3 สัญญาที่ 4 วงเงิน 6.2 พันล้านบาท, และงานโรงพยาบาล 2 แห่ง ที่คาดจะเซ็นสัญญาได้ภายในปี 2562 ถึงต้นปี 2563, รวมถึงงานมูลค่าราว 3-5 หมื่นล้านบาทจากรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ที่คาดเห็นการเซ็นสัญญาได้ภายในปี2562 คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาเหมาะสมในปี 2562 ที่ 32 บาท
ที่มา ทันหุ้น