TPIPP มีจุดเด่นปันผลสูง
คาดปี 66-67 ให้ผลตอบแทนกว่า 6%
.
หุ้นปันผลสัปดาห์นี้ Wealthy Thai มีอีกหนึ่งหุ้นที่นักลงทุนถามถึงบ่อยครั้ง อย่าง TPIPP หรือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าในปี 2566-2567 จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า 6% และมีแนวโน้มที่ผลประกอบการกำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง
.
โดย TPIPP ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ซึ่งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ปัจจุบัน TPIPP มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 28,392 ล้านบาท และมี P/E อยู่ที่ระดับ 9.21 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ส.ค. 66) โดยราคาหุ้นวันที่ 10 ส.ค. 66 อยู่ที่ 3.38 บาท อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง 0.59% ช่วงต้นปี
.
สำหรับประวัติการจ่ายปันผล TPIPP มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ หากนักลงทุนถือหุ้นตั้งแต่ปี 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จะได้รับเงินปันผลทั้งหมด 15 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1.60 บาทต่อหุ้น และนับจากตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทมี Dividend Yield อยู่ที่ระดับ 7.10%
.
ส่วนแนวโน้มการปันผลในปี 2566-2567 มีโอกาสที่ TPIPP จะให้ Dividend Yield ในระดับสูงกว่า 6% ต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ว่าปี 2566 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ 0.20 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.1% ส่วนปี 2567 คาดจะจ่ายเงินปันผลที่ 0.22 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.5%
.
ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าระยะสั้นนักลงทุนสามารถเก็งกำไรหุ้น TPIPP เพื่อรับผลประกอบการปี 2566 ที่เข้าสู่ช่วงฟื้นตัวจากปีก่อนได้ นอกจากนี้หุ้นยังมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
.
โดยช่วงที่เหลือของปี 2566 ราคาขายไฟฟ้าของ TPIPP อาจลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามผลกระทบจากการสิ้นสุดสัญญาค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) เต็มปีของโรงไฟฟ้า TG3 และ TG5 (ตั้งแต่เดือนม.ค. 65 และเดือนส.ค. 65) และค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ที่ทยอยปรับตัวลดลง อ้างอิงการประชุมของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 26 ก.ค. มีมติให้เรียกเก็บค่า Ft งวดเดือนก.ย. -ธ.ค. 66 ที่ 66.89 สตางค์ต่อหน่วย ลดลง 24.30 สตางค์ต่อหน่วยจากงวดก่อนหน้า
.
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี เติบโตได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยหนุน 1. การทยอยปรับตัวลงของต้นทุนถ่านหินส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 24-28% ได้, 2. การทยอยปรับไปใช้เชื้อเพลิง RDF แทนถ่านหิน และ 3. ปริมาณขายไฟฟ้าสูงขึ้นตามการใช้อัตราผลิตของโรงไฟฟ้าถ่านหิน แผนปิดซ่อมบำรุงลดลง และการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
.
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 3,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน โดยกำไรช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็น 58% ของคาดการณ์ทั้งปี โดยให้คำแนะนำ เก็งกำไร ราคาเหมาะสม 4 บาท
.
ขณะที่ในระยะยาวผลประกอบการและเงินปันผลของ TPIPP ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป มีโอกาสลดลงอย่างมีนัยยะ เนื่องจากจะเป็นช่วงสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้า TG4 และ TG6 จำนวน 90 เมกะวัตต์
