โบรกยกเกณฑ์ ‘ฟรีโฟลต’ ใหม่ ช่วยตลาดหุ้นไทย ‘ลดผันผวน-เพิ่มสภาพคล่อง-ป้องปั่นราคา’
By อัญชลี สบายสุข
- เกณฑ์ Free Float ใหม่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลดความผันผวนของตลาด และป้องกันการปั่นหุ้น
- ยกเลิกการผ่อนผันระยะเวลาการกระจาย Free Float สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และปรับลดสัดส่วนขั้นต่ำจาก 20% เป็น 17% เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจ
- การปรับปรุงวิธีคำนวณดัชนี SET50 ช่วยลดการพึ่งพิงหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป ทำให้ความผันผวนของตลาดโดยรวมลดลง และ erschwert die Aktienmanipulation
- การมี Free Float ที่สูงขึ้นจะนำไปสู่สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น
- ปรับเกณฑ์หุ้น IPO โดยใช้ Market Capitalization แทน Paid-up Capital เพื่อยกระดับคุณภาพหุ้นให้มีสภาพคล่องในการซื้อขายจริงตั้งแต่เข้าตลาด
- บริษัทจดทะเบียนจะถูกกระตุ้นให้บริหารจัดการ Free Float มากขึ้น เนื่องจากเกณฑ์ใหม่อาจมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น เช่น การพักการซื้อขายหุ้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เดินหน้าปรับปรุงเกณฑ์ “การกระจายหุ้นสู่ผู้ถือหุ้นรายย่อย” (Free Float) และแนวทางคำนวณดัชนี SET50 เพื่อ “เพิ่มสภาพคล่อง ลดความผันผวน” ของตลาด และป้องกันพฤติกรรม “ปั่นหุ้น” โดยมีทั้งส่วนที่เริ่มดำเนินการแล้ว และบางประเด็นอยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็น อย่าง การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ซึ่งทั้งหมดเพื่อยกระดับคุณภาพตลาดทุนไทยให้โปร่งใส เป็นธรรม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ขณะที่ “นักวิเคราะห์” มองเป็นทิศทางเดียวกันว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้ดัชนีไม่ต้องพึ่งพิงกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

โดยเกณฑ์ ฟรีโฟลต จะยกเลิกหลักเกณฑ์ในการผ่อนผันระยะเวลาการกระจาย Free Float สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจ และปรับปรุงสัดส่วน Free Float จากขั้นต่ำ 20% เป็นขั้นต่ำ 17% ในบริษัทขนาดใหญ่ หากยังคงเป็นสัดส่วน Free Float ที่สูงกว่าเกณฑ์ดำรงสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ขั้นต่ำ 15%
รวมถึงการปรับแบ่งกลุ่มขนาดของบริษัท ด้วยการใช้ Market Capitalization แทนการแบ่งกลุ่มด้วย Paid-up Capital เพื่อให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการและกำหนดจำนวนหุ้น Free Float ขั้นต่ำที่ 30 ล้านหุ้น และเพิ่มหลักเกณฑ์บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาด SET และ mai มีการดำเนินการใด ๆ ที่จะส่งผลให้สัดส่วน Free Float ลดลงต่ำกว่าคุณสมบัติเรื่อง Free Float ตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ในทันทีตั้งแต่หุ้นเริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะถือว่าบริษัทดังกล่าวยังไม่มีคุณสมบัติเรื่อง Free Float ตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์
ขณะที่หุ้น IPO เตรียมปรับเกณฑ์การแบ่งกลุ่มขนาดของบริษัทด้วยการใช้ Market Capitalization แทนการแบ่งด้วย Paid-up Capital เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ Free Float และกำหนดหุ้น IPO ขั้นต่ำที่จำนวน 20 ล้านหุ้น
“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังเดินหน้าปรับปรุงเกณฑ์ Free Float และวิธีการคำนวณดัชนี SET50 ใหม่โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ลดความผันผวน และป้องกันการปั่นหุ้น โดยมีการดำเนินการบางส่วนแล้วและบางส่วนยังอยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ
โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นที่สำคัญคือ การปรับลดเกณฑ์ Free Float ขั้นต่ำสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ จากเดิม 20% เหลือ 17% การปรับลดครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ กระตุ้นและส่งเสริมให้บริษัทขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพฯ มากขึ้น
นอกจากนี้ เกณฑ์ Free Float ขั้นต่ำจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณ จากเดิมที่ผูกกับทุนจดทะเบียน มาเป็นการผูกกับมาร์เก็ตแทน ความแตกต่างที่สำคัญคือ หุ้นบางตัวที่มีทุนจดทะเบียนไม่สูง แต่อาจมีการซื้อขายที่ราคาแพง ทำให้มีค่าพีอีสูง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลให้หุ้นที่มี P/E สูงต้องกระจายหุ้นออกไปให้รายย่อยมากขึ้น ซึ่งเป็นความพยายามที่จะลดปัญหาการปั่นหุ้น และทำให้การปั่นหุ้นทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับเกณฑ์ Free Float ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้น IPO นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น และยังไม่มีการประกาศใช้จริง โดยเป็นเพียงการทดสอบและรวบรวมความเห็นจากสาธารณะ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดว่าควรจัดสรรหุ้นใหม่ให้กับรายย่อยในสัดส่วนเท่าใด
“การเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณดัชนี SET50 รูปแบบใหม่ได้ถูกนำมาใช้จริงแล้ว ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากการคำนวณแบบเดิมที่ใช้สภาพคล่องธรรมดา ซึ่งทำให้ดัชนีที่พึ่งพิงกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เช่น หุ้น เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA) มากจนเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีความผันผวนสูงมากในแต่ละวัน ดังนั้น ด้วยเกณฑ์ใหม่ดัชนีจะไม่พึ่งพิงหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป สามารถลดความผันผวนโดยรวมของตลาด เพราะเมื่อมีการกระจายน้ำหนักไปให้หุ้นตัวอื่น ความผันผวนของดัชนีจะไม่เท่าเดิม นอกจากนี้การจัดการหรือการปั่นหุ้นแต่ละตัวอาจทำได้ยากขึ้น เนื่องจากเกณฑ์ Free Float ที่เพิ่มขึ้น”
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับเกณฑ์ Free Float ในภาพรวมถือเป็นข้อดี ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) หลายแห่งมีการกระจายหุ้นในระดับที่ดีขึ้น รวมถึงผู้ลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยจะมีโอกาสเข้าถึงและร่วมลงทุนในกิจการต่างๆ ได้มากขึ้น หาก Free Float ที่สูงขึ้นโดยทั่วไปจะนำไปสู่ “สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น” หาก Free Float ไม่มากการซื้อขายก็จะ “ไม่คึกคัก”
อย่างไรก็ดี หุ้นที่มี Free Float ถึงเกณฑ์จะมีโอกาสถูกนำเข้าไปคำนวณในดัชนีสำคัญต่างๆ เช่น SET50, MSCI ซึ่งจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น
“บริษัทจดทะเบียนจะถูกบังคับให้มีความแอกทีฟและบริหารจัดการ Free Float ของตนเองมากขึ้น หากไม่เป็นไปตามเกณฑ์ อาจต้องพิจารณาปรับโครงสร้าง เช่น ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ลดสัดส่วนลง เพิ่มทุน หรือเสนอขายหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไปเพิ่มเติม”
ขณะเดียวกัน หากบริษัทมองว่าเป็นภาระเกินไป และไม่ต้องการดำเนินการตามเกณฑ์ ก็อาจพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งถือเป็นการให้โอกาสที่เป็นธรรมแก่ผู้ลงทุน
อย่างไรก็ตาม การปรับเกณฑ์จะทำให้ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และบริษัทต้องวางแผนมากขึ้นในการรักษา Free Float เมื่อมีการทำ Tender Offer หรือเข้าซื้อกิจการ เนื่องจากอาจส่งผลให้ Free Float ลดลงอย่างมากโดยไม่ตั้งใจ
“ในอดีตบทลงโทษสำหรับ Free Float ตามเกณฑ์นั้นแทบจะไม่มีผลกระทบแต่เกณฑ์ใหม่ที่กำลังจะออกมาอาจรวมถึงบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น เช่น การพักการซื้อขายหุ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้บริษัทต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ Free Float มากขึ้น”
ส่วนเสนอขายหุ้น IPO อาจมีเกณฑ์ขั้นต่ำกำหนดไว้ ซึ่งคาดว่าจะคงอยู่ที่ 20% แต่ทว่าขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ซึ่งต้องรอ ตลท.กำหนดเกณฑ์อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า ในส่วนของการปรับเกณฑ์ Free Float หุ้น IPO ขณะนี้ยังคงมีความไม่ชัดเจน แต่ทว่ามีความหวังหนุน “สภาพคล่อง” ในตลาด SET และตลาด mai โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพหุ้นในตลาดและสะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริง
นอกจากนี้ ยังต้องการกระจายหุ้นสู่ผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสภาพคล่องในตลาดเพื่อให้มีการซื้อขายกันจริง ๆ โดยเฉพาะหุ้น IPO ที่จะเข้าสู่ตลาด
โดย “ข้อดี” ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หลังจากการปรับเกณฑ์นี้ จะเห็นหุ้น IPO ที่เข้าตลาดเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายจริง ๆ มากขึ้น หุ้นที่ไม่เทรดจะไม่ถูกนำมาคำนวณ ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาในอดีต เช่น กรณีของหุ้น DELTA ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่ไม่มีการเทรด ทำให้ฟรีโฟลตไม่ครบถ้วนตามความเห็นของตลาด ฉะนั้น กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นจะช่วยให้มูลค่า ของหุ้นสะท้อนสภาพที่เป็นจริงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับเกณฑ์ใหม่ยังคงมีความกังวลว่า อาจทำให้นักลงทุนเทรดน้อยลงจะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดโดยรวมลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่า ความเคลื่อนไหวของหุ้นในดัชนีอาจไม่คึกคักเหมือนเดิม
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1195484