ถือ EA ตั้งแต่ต้นปีติดลบ 17.27%
โบรกฯ มองค้าน พร้อมเชียร์ “ซื้อ”
ชี้ราคาร่วง หนุนหุ้นมีอัพไซด์

.
บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA อีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยโมเดลธุรกิจของบริษัทที่สอดคล้องไปกับเมกะเทรนด์ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ,โรงงานแบตเตอรี่ ไปจนถึงยานยนต์พาหนะไฟฟ้า จึงทำให้แนวโน้มของบริษัทส่อแววการเติบโตได้ดีในอนาคต
.
แต่อย่างที่นักลงทุนหลายคนทราบกันดีหรือได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวของราคาดังกล่าว จะพบว่าราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 66) เริ่มมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะกราฟจะส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นมากเล็กน้อย แต่ภาพรวมยังคงปรับลงถึง 17.27% หรือมาอยู่ที่ 80.25 บาท จากต้นปีที่ 96 บาท
.
ขณะเดียวกัน เมื่อในช่วงต้นสัปดาห์วันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมาราคาหุ้นของ EA ปรับตัวลดลงไปกว่า 2.11% หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าเรือของ EA เกิดเหตุเพลิงไหม้ สาเหตุคาดว่าจะมาจากการชาร์จแบตเตอรี่ แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้ออกมาชี้แจงกระแสข่าวลือดังกล่าวแล้วว่า เรือที่เกิดเหตุเป็นเรือที่อยู่ระหว่างการประกอบเพื่อรอส่งมอบ
.
โดย ณ เวลาที่เกิดเหตุ เรือไม่ได้อยู่ระหว่างการ ชาร์จแบตเตอรี่ อีกทั้ง จุดต้นเพลิงที่เกิดเพลิงไหม้อยู่ด้านบนบริเวณชั้น 2 ของตัวเรือ ซึ่งเป็นคนละบริเวณกับจุดที่ติดตั้งแบตเตอรี่ ดังนั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า เหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากระบบหัวชาร์จจ่ายไฟ และจากตัวแบตเตอรี่อย่างแน่นอน แต่สาเหตุที่แท้จริงบริษัทจะทำการตรวจสอบและชี้แจงอีกครั้ง
.
ดังนั้นทำให้หลายคนเองก็ตั้งข้อสงสัยและคำถามขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นราคาหุ้นและความน่าสนใจของ EA จะยังเป็นที่น่าสะสมอยู่หรือไม่ในจังหวะราคาลงเช่นนี้ ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงได้ทำการหยิบมุมมองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจ
.
โดยบทวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 105.00 บาท ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นเหตุจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและปริมาณการส่งมอบรถ EV Bus ที่มีโอกาสต่ำกว่าคาดการณ์ที่บริษัทเคยให้ไว้ในช่วงไตรมาส 3/65 หรือที่ราว 1,200 คัน แต่อย่างไรก็ดีทำให้ราคาหุ้นกลับมามีอัพไซด์อีกครั้ง
.
ขณะเดียวกันราคาหุ้นยังมีอัพไซด์เพิ่มเติม จากการได้รับกำลังผลิตใหม่จากการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ของ กกพ. ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลวันที่ 22 มี.ค. 66 และการเปิดประมูลรถ EV Bus ของ ขสมก. ราว 1,000 – 2,000 คัน ที่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 2566
.
สำหรับแนวโน้มการส่งมอบรถในปี 2566 ประเมินว่าจะยังสามารถส่งมอบได้อย่างต่อเนื่องและทำให้ปริมาณการส่งมอบรถ EV Bus ทั้งปีเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 2,000 คัน จากปีก่อนที่ราว 950 คัน หลังการผลิตรถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
โดยบริษัทมี Backlogs จากกลุ่มไทยสมายล์บัส (TSB) อยู่ราว 1,500-2,000 คัน คาดจะทยอยส่งมอบในช่วงครึ่งปีแรกปี66 นอกจากนี้ธุรกิจ EV ยังได้แรงหนุนจากการที่ภาครัฐเริ่มประกาศนโยบายที่สนับสนุนการใช้งาน EV ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น เช่น การที่ ครม. เห็นชอบให้เปลี่ยนรถประจำทางที่ใช้น้ำมันในพื้นที่ กทม. ให้เป็นรถ EV ทั้งหมด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยหนุนความต้องการใช้รถ EV ภายในประเทศ
.
ส่วนตลาด EV ในต่างประเทศ บริษัทได้มีการร่วมมือกับบริษัท Computer Forms Malaysia Berhad (CFM) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและ EV ในมาเลเซีย โดยในระยะแรกของการร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการส่งออกรถ EV Bus จากไทยไปขายในมาเลเซีย คาดจะช่วยหนุนยอดขายรถ EV Bus ได้ราว 200-300 คันต่อปี และจะมีการพิจารณาเพื่อตั้งโรงงานผลิต EV ในมาเลเซียในระยะถัดไป