ตลาดหุ้นไทย SET ขาขึ้นรอบนี้ ของจริงแล้วใช่ไหม ?
ดัชนีหุ้นไทยเร่งเครื่องวิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ผิดไปจากที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ถ้านับตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นมา รวมระยะเวลา 16 วันทำการ ดัชนีตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่รอบ 23 ปี หรือบวกไปเกือบ 100 จุด คิดเป็นอัตราผลตอบแทนทะลุ 6% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน
ตลาดหุ้นไทย ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 23 ปี อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้ เศรษฐกิจไทย เริ่มกลับเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง? โดยถ้ามีความเชื่อว่า..ดัชนีตลาดหุ้นมักจะวิ่งนำหน้าเศรษฐกิจจริงไปก่อนเสมอ !!
แต่ถ้าตัดกลับมาที่ภาพความรู้สึกเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ที่ดูซึมๆ กำลังซื้อในประเทศที่หดหายและเงียบเหงา ยิ่งกระตุกความสงสัยของนักลงทุนถึงอัพไซด์ดัชนีตลาดหุ้นไทยว่าอยู่ตรงไหน..แล้วหากไปต่อจะไปถึงเท่าไหร่กัน ?
มูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุนในปีนี้ ถึง วันที่ 18/9/60
ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(18/9/60) มูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุน กลุ่มนักลงทุนสถาบัน เป็นฝั่งซื้อสุทธิสะสมมากที่สุด และ นักลงทุนภายในประเทศเป็นฝั่งขายสุทธิสะสมมากที่สุด แต่ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นในรอบนี้คือเม็ดเงินไหลเข้าของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ เรามาลองติดตาม..มุมมองในฝั่งนักวิเคราะห์การลงทุนตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้กันได้เลย..!!
นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) บอกว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงมั่นใจกับสถานการณ์การเมืองในประเทศมีเสถียรภาพ สะท้อนได้จากภายหลังจากวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงและให้ผลตอบแทนกว่า 6%
ซึ่งถ้ารวมกับเงินบาทแข็งค่า ผลตอบแทนต่างชาติจะสูงถึง 17% สูงเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน เแต่ปัจจจุบันมูลค่าพื้นฐานได้ขึ้นมาสูงแล้ว ถ้าเทียบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ที่คาดจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว ดังนั้นในระหว่างทางมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับแรงขายทำกำไร เพราะหากดัชนีหุ้นไทยถ้าจะสูงเกิน 1,700 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนต้องเติบโตเกิน 10% ถึงจะสอดคล้องไปกับดัชนีฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาในรอบนี้
แม้ดัชนี SET จะขึ้นมาสูง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย เพราะถ้าประเมิน P/E 16 เท่าเทียบกับภูมิภาคไม่ได้สูงจนเกินไป ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นปัจจัยเอื้อกับการลงทุนในตลาดหุ้น จึงมองว่าช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยมีดาวน์ไซด์จำกัด เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยมองว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาส 2/60 และจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดจะเห็นการฟื้นตัวเป็นตัวเลขสองหลักในปีหน้า เป็นปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนดัชนีฯ ทะลุ 1,700 จุดได้อย่างแน่นอน
ทางด้าน ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) บอกว่านักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นกับหุ้นไทยชัดเจนมากขึ้นหลังจากวันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นมา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คดีโครงการจำนำข้าวมีความชัดเจน โดยไม่มีเหตุรุนแรง ขณะเดียวกัน ภาพเศรษฐกิจไทยที่พึ่งการส่งออกเป็นหลัก ก็ส่งสัญญาณเติบโตเกินคาด เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวเช่นกัน จากช่วงที่ผ่านมาที่ถูกกระทบจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ
สำหรับพอร์ตนักลงทุนต่างชาติ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2013-2015 พบว่าต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสูงถึง 3.86 แสนล้านบาท แต่พอมาในปี 2016 พลิกเป็นยอดซื้อสุทธิ 7.8 หมื่นล้านบาท ก่อนจะมาซื้อชัดเจนอีกครั้งนับตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 ก.ย.) ที่ตัวเลขต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1.36 หมื่นล้านบาท เทียบกับตัวเลขถ้านับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 25 ส.ค.ที่ต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 2 พันล้านบาทเท่านั้น
ในภาวะตลาดที่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนสัญญาณเทคนิคเข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) นักลงทุนควรพิจารณาพื้นฐานหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าที่จะอิงกับดัชนีฯ ด้วยการเน้นไปยังหุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสม เพราะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมากแล้ว
ด้านมุมมอง บล.เคที ซีมิโก้ บอกว่าตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นมารอบนี้ จะถูกผลักดันด้วยแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติ ส่วนหนึ่งมาจากกองทุนที่ขายหุ้นในตลาดเอเชียเหนือแล้วนำมาพักในหุ้นไทย ขณะที่เงินบาทแข็งค่าเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ
นอกจากนั้น ในปลายปีนี้จะมีแรงซื้อในประเทศจากกองทุน LTF และ RMF ที่เข้ามาทุกปี มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะมีให้เห็น เพราะเป้าดัชนีฯ ปีถัดไปมองไปที่ 1,720 จุด และกรณีที่มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาหนุนมาก จะอยู่ที่ 1,780 จุด ซึ่งมองว่าเป็นไปได้สูง
ส่วนเรื่องอัพไซด์ฟันด์โฟลว์นั้น มองว่าต่างชาติขายหุ้นมาระดับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่เพิ่งจะกลับมาซื้อเมื่อปีที่แล้ว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และปีนี้ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มองว่ายังมีโอกาสไหลเข้าได้อีก โดยมีปัจจัยกระตุ้นคือการเลือกตั้งและการใช้จ่ายฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
คำแนะนำการลงทุนในภาวะหุ้นไทยขึ้นมาเร็ว นักลงทุนต้องระวังมากขึ้น โดยให้ข้อสังเกตคือแม้ในตลาดหุ้นจะซื้อสุทธิ แต่ในด้านอนุพันธ์เปิดสถานะ "SHORT" ซึ่งเมื่อปิดสถานะเมื่อใดก็มีโอกาสที่ตลาดจะกลับมาร่วงลงได้ ดังนั้น การที่สัญญาณเทคนิค "Overbought" มาก ก็ควรขายทำกำไรไปบ้าง อย่ามั่นใจกับตลาดเกินไป แต่สำหรับนักลงทุนที่ตกรถก็ควรรอจังหวะตลาดย่อตัว หรือเลือกเก็งกำไรในหุ้น "Laggard" จะปลอดภัยที่สุด
ขอบคุณข้อมูล : Money Channel, SETSMART