ห้องเม่าปีกเหล็ก

พวก " ติดดอย " กับพวก " พ้นเหว "

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
69 views

จากการที่ตลาดหุ้นไทยปิดสิ้นปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2560 ที่ 1,753 จุด แล้วปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาลระหว่างชั่วโมงการซื้อขายที่ 1,848 จุด เมื่อวันที่ 25 มกราคม ปี พ.ศ 2561 แล้วในที่สุดก็ปรับลงมาปิดที่ 1,664 จุด ในวันนี้ วันที่ 20 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 หรือ ลดลง ( 1,664 - 1,848 ) / 1,848 x 100 = -9.96%

ข้อมูลการซื้อขายแยกประเภทนักลงทุนในวันนี้ วันที่ 20 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 เป็นดังนี้ คือ :

1) นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ         =    +2,434.32 ล้าน บาท

2) บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ              =    -1,171.66 ล้าน บาท

3) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ                     =    -3,632.69 ล้าน บาท

4) นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ           =   +2,370.02 ล้าน บาท

ข้อมูลการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณ. วันนี้ วันที่ 20 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 เป็นดังนี้ คือ :

1) นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ       =    +75,428.78 ล้าน บาท

2) บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ             =     -5,929.37 ล้าน บาท

3) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ                   =  -171,897.11ล้าน บาท

4) นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อ                 =  +102,397.70 ล้าน บาท

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พวก “ ติดดอย  “ น่าจะหมายถึง นักลงทุนสถาบันในประเทศ “  และ นักลงทุนทั่วไปในประเทศ “ ที่ลงทุนในหุ้นใหญ่ 5 ตัวตั้งแต่ต้นปีนี้คือปี พ.2561 จนถึงปัจจุบัน คือ PTT, PTTEP, PTTGC, AOT และ SCC ทั้งนี้เพราะหุ้นใหญ่ทั้ง 5 ตัวดังกล่าวข้างต้นเป็นเป้าหมายการขายของต่างชาติ ส่วนสาเหตุที่ต่างชาติขายก็เพราะ ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ( 2.00%) สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทย ( 1.50%) อยู่ 0.50% และ นับวันความแตกต่างนี้จะมากขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด  เพราะ ตลาดคาดการณ์ว่า FOMC จะปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate ขึ้นไปอีก 2 ครั้งในปีนี้คือปี พ.ศ 2561ไปอยู่ที่ 2.50% จึงทำให้ต่างชาติขายหุ้นไทยตัวใหญ่ 5 ตัว ที่ได้กําไรแล้วดังกล่าวข้างต้น เพื่อขนเงินกลับไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า

ผลการขายของต่างชาติดังกล่าวข้างต้น ทำให้หุ้นใหญ่ 5 ตัว รวมทั้ง SET INDEX ปรับตัวลดลงถึง ณ. จุดปิดของวันนี้ วันที่ 20 มิถุนายน เป็นดังนี้คือ : 

1) PTT ปิดที่ 48.75 บาท จากจุดสูงสุดที่ 59.50 บาทหรือ ลดลง  ( 48.75 – 59.50 ) / 59.50 x 100 = -18.07%

2) PTTEP ปิดที่ 129 บาท จากจุดสูงสุดที่ 151.50 บาทหรือ ลดลง ( 129 – 151.50 ) / 151.50 x 100 = -14.85%

3) PTTGC  ปิดที่ 83.75 บาท จากจุดสูงสุดที่ 105 บาท หรือ ลดลง  (  83.75 – 105 ) / 105 x 100 = -20.24%

4) AOT ปิดที่ 65.25 บาท จากจุดสูงสุดที่ 74 บาทหรือ ลดลง ( 65.25 – 74 ) / 74 x 100 = -11.82%

5) SCC ปิดที่ 420 บาท จากจุดสูงสุดที่ 528 บาท หรือ ลดลง ( 420 – 528 ) / 528 x 100 = -20.45%

6) SET INDEX ปิดที่ 1,664 จุด จากจุดสูงสุดที่ 1,848 จุดหรือ ลดลง ( 1,664 – 1,848 ) / 1,848 x 100 = -9.95%

พวก " ติดดอย " จะกลายเป็นพวก " พ้นเหว "  ได้ก็ต่อเมื่อ ธนาคารกลางไทย หรือ กนง. มีนโยบายที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ชัดเจน และ ใกล้เคียงกับ Fed Fund Rate ของสหรัฐอเมริกาในอนาคต ทั้งนี้เพื่อหยุดการไหลออกของเงินทุน และ หยุดการขายของต่างชาติ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็น่าจะเป็นครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 เพราะคาดว่าธนาคารกลางไทย หรือ กนง. น่าจะปรับดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 4 ปีในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562

 สําหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบหลายปีของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก หลังจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี พ.ศ 2551เป็นดังนี้คือ :

1) ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ครั้งแรกในรอบ 9 ปี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี พ.ศ 2558

2) ธนาคารกลางอังกฤษ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2560

3) ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 6 ปี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2560

4) ธนาคารกลางมาเลเซีย ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 25 มกราคม ปี พ.ศ 2561

5) ธนาคารฟิลิปปินส์ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี พ.ศ 2561

6) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ ปี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ปี พ.ศ 2561

7) ธนาคารกลางอินเดีย ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 4 ปี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 

8) ธนาคารฮ่องกง ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561

9) ธนาคารกลางยูโรป จะยุติการทํา QE ในปีนี้คือ ปี พ.ศ 2561 และ คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบหลายปีในช่วงกลาง ถึง ปลายปีหน้าคือปี พ.ศ  2562

10) ธนาคารกลางญี่ปุ่น น่าจะยุติการทํา QE ใน ช่วงปลายปี พ.ศ 2562 จากปริมาณการทํา QE ในปัจจุบันที่  80 ล้านล้าน เยน ต่อ ปี และ คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบหลายปีได้ในปีต่อไปคือปี พ.ศ 2563 

11) ธนาคารกลางไทย หรือ กนง. น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในช่วงปลายปีนี้คือปี พ.ศ 2561 หรือ ต้นปีหน้าคือปี พ.ศ 2562

ส่วนพวก“ พ้นเหว “ น่าจะหมายถึง นักลงทุนสถาบันในประเทศ “  และ นักลงทุนทั่วไปในประเทศ “ เช่นเดียวกัน ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ตัวตั้งแต่ที่ทำจุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ถึง 4 ปีครึ่งในช่วงเดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม ปี พ.2561จนถึงปัจจุบัน และในบรรดา หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 5 ตัว ประกอบไปด้วย วอแรนต์ของ ITD คือ “  ITD-W1 “  และ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด 4 อันดับแรกคือ ITD, CK, STEC และ UNIQ  ส่วนสาเหตุของการ " พ้นเหว เพราะ :

1) เป็นหุ้นที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายการขายของต่างชาติ  เพราะ เป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และ ที่สำคัญที่สุดหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเพิ่งทำจุดต่าสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ถึง 4  ปีครึ่งในช่วงเดือน มีนาคม –พฤษภาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ผ่านมานี้เอง

2) เหตุผลระยะสั้น : รัฐบาลน่าจะเร่งประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเรียกคะแนนนิยมกับประชาชนชาวไทย ตลอดจนรัฐบาลและประชาชนชาวต่างชาติ และ ในส่วนของ " ITD-W1 " นั้น เพราะเป็น Warrant และ เป็นเพราะ อาจจะมีความก้าวหน้าของโครงการทวาย และ โครงการโปแตส จ.อุดรฯ ที่จะเข้ามาเป็นปัจจัยบวกเสริมพิเศษมากกว่าการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท ของ ITD

3) เหตุผลระยะยาว : รัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 น่าจะดําเนินนโยบายโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทอย่างต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 เพราะ เป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย และ เมื่อถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 แล้ว ขาขึ้นรอบใหญ่ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็น่าจะสิ้นสุดลง เพราะ 80% ของโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท น่าจะมีการประมูลและรู้ผลแล้ว และ เมื่อถึงเวลานั้นพวก " พ้นเหว " ก็จะกลายเป็นพวก " ติดดอย "

ส่วนการปรับตัวขึ้นของพวก“ พ้นเหว “ จนถึงจุดปิดวันนี้ วันที่ 20 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 เป็นดังนี้คือ:

1) ITD-W1 ปิดที่ 0.15 บาท ( จากจุดตํ่าสุดที่ 0.07 บาท เมื่อ วันที่ 10 พฤษภาคม  ปี พ.ศ 2561 ) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.15 / 0.07  = +2.14 เท่า 

2) ITD ปิดที่ 3.12 บาท ( จากจุดตํ่าสุดที่ 2.96 บาท เมื่อ วันที่ 4 เมษายน ปี พ.ศ 2561 ) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 3.12 - 2.96 ) / 2.96 x 100 = +5.41%

3) CK ปิดที่ 26.00 บาท ( จากจุดตํ่าสุดที่ 23.30 บาท เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ปี พ.ศ 2561 ) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 26.00 - 23.30 ) / 23.30 x 100 = +11.59%

4) STEC ปิดที่ 21.40 บาท ( จากจุดตํ่าสุดที่ 17.10 บาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี พ.ศ 2561 ) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 21.40 - 17.10 ) / 17.10 x 100 = +25.15%

5) UNIQ  ปิดที่ 13.40 บาท ( จากจุดตํ่าสุดที่ 12.50 บาท เมื่อ วันที่ 10 เมษายน ปี พ.ศ 2561 ) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 13.40 - 12.50 ) / 12.50 x 100 = +7.20%

6) CONS ปิดที่ 98.01 จุด ( จากจุดตํ่าสุดที่ 92.32 จุด เมื่อวันที่ 27 เมษายนปี พ.ศ 2561) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 98.01 - 92.32 ) / 92.32 x 100 = +6.19%

7) SET INDEX ปิดที่ 1,664 จุด( จากจุดที่ผู้โพสต์คาดว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของสภาวะตลาดกระทิงที่ 1,561จุด เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 ) หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 1,664 - 1,561 ) / 1,561 x 100 = +6.60%

หมายเหตุ  : 1 ) ที่มาจาก ( www.settrade.com ) และ ( www.set.or.th )

                  2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ ได้ใน longtunbysak.blogspot.com 

                  3) ผู้โพสต์ขอเรียนให้ทราบว่าผู้โพสต์จะทําการเลื่อนกําหนดการกําหนดจุดตํ่าสุดของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากเดิมในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2561 ไปเป็นวันที่รัฐบาลกําหนดการเลื่อกตั้งที่แน่นอนออกมาก่อน ทั้งนี้สาเหตุเพราะสภาวะตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่คาดหมายไว้

                  4) ผู้โพสต์ขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ผู้โพสต์ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาที่จะชักชวน ชี้นํา หรือ ชี้เป้าให้ท่านนักลงทุนที่เข้ามาดู เข้ามาอ่าน หรือ เข้ามา View มาลงทุนหรือไม่ลงทุนตามแนวทางที่ผู้โพสต์ได้นําเสนอไป และ จะนําเสนอต่อไปในอนาคต และ จะไม่รับประกันผลตอบแทน ตลอดจนจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นในกรณีที่มีการนําข้อมูล หรือ ความเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ไปใช้แล้วเกิดความเสียหายขึ้น ผู้โพสต์หวังแต่เพียงว่าข้อมูล และ ความคิดเห็นส่วนตัวดังกล่าวข้างต้นของผู้โพสต์ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านนักลงทุนที่เข้ามาดู และ เข้ามา View บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเข้าลงทุน หรือ ไม่ลงทุน

             


ศักดิ์