คุณลงทุนแบบรอวันเจ๊งอยู่หรือเปล่า?
ความประมาทคือบ่อเหตุของความหายนะ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของการลงทุนแล้ว ถ้าหากเราเลินเล่อไม่ลงทุนอย่างระมัดระวัง ก็คงไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมศพให้ตัวเอง หรือรอวันเจ๊งนั่นเอง ซึ่งบ่อยครั้งเกิดจากการมองข้ามเรื่องความเสี่ยง เพราะมัวแต่หลงระเริงกับความคาดหวังในผลตอบแทน แต่การที่จะเข้าใจถึงความสำคัญของการควบคุมความเสี่ยงไม่ว่าจะด้วยการกระจายความเสี่ยง หรือการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง น่าจะดีที่สุดหากเราเริ่มจากการทำความรู้จักกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น และผลเสียที่ตามมาจากการละเลยในหน้าที่นี้
การลงทุนไม่ได้มีแค่ขาขึ้น
เรื่องที่จะพูดถึงนี้อาจจะเป็นเรื่องที่นักลงทุนหลายคนเคยเจอมากับตัวคือ การที่ราคาของสินทรัพย์ปรับตัวลงจากจุดสูงสุด หรือการเกิด Maximum Drawdown ซึ่งเป็นการคำนวณว่า ถ้าหากเราซื้อสินทรัพย์ ณ ตอนที่ราคาแพงที่สุดในอดีต แล้วตอนนี้ราคามีการปรับตัวลงมา มูลค่าของสินทรัพย์เราจะลดลงเป็นกี่ %
ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในกองทุนตราสารทุน SCBCE เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2015 เป็นจำนวนเงิน 10,000บาท โดยที่ราคาต่อหน่วยลงทุนอยู่ที่ 8.012 บาท จากนั้นวันที่ 26 ตุลาคม 2015 ราคาต่อหน่วยปรับตัวขึ้นไปถึง 9.0558 บาท ก่อนที่จะค่อยๆปรับตัวก่อนจะล่วงลงไปเหลือ 6.3126 บาท การคำนวณ Maximum Drawdown จะนำมูลค่า ณ จุดสูงสุดก่อนหน้า ( 9.0558 ) มาหา % การเปลี่ยนแปลงกับจุดต่ำสุด ( 6.3126 ) ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว SCBCE จึงมีค่า Maximum Drawdown อยู่ที่ -30.29% เท่ากับว่าจากเดิมพอร์ตเคยมีมูลค่าสูงถึง 11,301.95 บาท แต่ปรับตังลดลงไปเหลือแค่ 7,878.34 บาท อันนี้สมมติว่าใจแข็งถือมาถึงนะ
และถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นได้ว่ากว่า NAV จะกลับมาถึงจุดเดิมเราต้องรอคอยอย่างมีความหวังเกือบ 2 ปีเต็ม เพราะถ้าไม่ใช่อาหวัง ลื้อคงยอมขายขาดทุนไปเลี้ยว ซึ่งการรอนี้เรียกว่า Maximum Drawdown Period หรือระยะเวลาที่สินทรัพย์ใช้ในการเพิ่มมูลค่ากลับมาที่จุดสูงสุดเดิม บางคนอาจมองว่าแค่ 2 ปีเองงง สีทนได้ บ่ยั่นอยู่แล้ว ต้องข้อแนะนำให้แวะมาดู FTSE100 หรือดัชนีประเทศอังกฤษ แต่ถ้าใครขวัญอ่อนก็อย่างไปกดเชียวหละ
ปัญหาที่อาจเจอ
แน่นอนว่าในการลงทุน เราคงไม่อยากเจอกับสถานการณ์แบบนี้กับตัว แล้วยิ่งถ้าหากเป้าหมายในการลงทุนของเราเป็นเป้าหมายที่ Time sensitive หรือมีการกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการเก็บเกี่ยวเงินลงทุนก้อนนี้ เช่น การลงทุนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนปริญาตรีเพื่อให้ลูกได้เรียนมหาลัยดีๆ เป็นการลงทุนที่มีระยะเวลากำหนดไว้อย่างชัดเจน ว่าต้องการได้รับเงินก้อนจากการลงทุนนี้เมื่อลูกโตถึงวัยที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งหมายความว่าถ้าหากสินทรัพย์ที่เราลงทุน เกิดมี Maximum Drawdown ที่รุนแรงและยาวนาน ก็จะสงผลเสียทำให้การลงทุนของเราไม่บรรลุเป้าหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายที่กู้สถานการณ์ได้ยาก เพราะฉะนั้นการเลือกระดับความเสี่ยงให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนจึงเป็นเรื่องที่นับว่าสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้
ถ้างั้นอยากลดความเสี่ยงควรเริ่มยังไง ?
ความรู้คือสิ่งที่สำคัญในเกือบทุกสายงานอาชีพ ซึ่งกับแวดวงการลงทุนก็ไม่ต่าง การลงทุนในสินทรัพย์แบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แค่นี้ก็เสี่ยงแล้ว เพราะการที่เราไม่ได้มีความเข้าใจในสินทรัพย์ที่เราลงทุน เราจะตระหนักถึงความเสี่ยงที่เราแบกรับไว้อยู่ได้อย่างไร? ฉะนั้นการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่เราลงทุนจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ในส่วนของเพื่อนๆที่มีการลงทุนในกองทุน หรือมีความสนใจ ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ “กองทุนรวมคือคนที่ใช่ หรือผ่านมาแค่ให้จำ?”
อีกวิธีคือการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่แล้ว เช่น ตราสารหนี้ หรือกองทุนตราสารหนี้เป็นต้น เพราะความโหดร้าย หรือความรุนแรงของ Maximum Drawdown และ Maximum Drawdown Period ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของสินทรัพย์ ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนให้หุ้น ก็จะมี Maximum Drowdown ที่ติดลบน้อยกว่า และมีระยะเวลาของ Maximum Drawdown Period ที่สั้นกว่าเช่นกัน
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ความเสี่ยงสามารถลดได้ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ใช่หลายๆสินทรัพย์ เพราะหากเพื่อนๆต้องการที่จะลดความเสี่ยงจริงๆ สินทรัพย์แต่ละอย่างที่มีในพอร์ตควรที่จะมี Correlation ต่อกันในระดับที่ต่ำ ถึงจะนับว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่มีหลายๆสินทรัพย์ไว้ในพอร์ต
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..