ห้องเม่าปีกเหล็ก

จีนอาการโคม่า

โดย ฒ ผู้เฒ่า
เผยแพร่ :
76 views

จีนอาการโคม่า เผยตัวเลขเศรษฐกิจ "แย่ที่สุด" ตั้งแต่ยุคโควิด คนไม่กล้าใช้เงิน อสังหาฯ ยังเลือดสาด กูรูเตือนปี 2026 เผาจริง!

ใครที่ติดตามเศรษฐกิจจีนอยู่ต้องบอกเลยว่าตัวเลขล่าสุดที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อเช้านี้ เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียวค่ะ

วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันแบบเน้นๆ ถึงไส้ในของตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่เพิ่งเปิดเผยออกมา โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "ยอดค้าปลีก" (Retail Sales) และ "ภาคอสังหาริมทรัพย์" ที่ดูเหมือนจะเป็นฝันร้ายที่ไม่ยอมจบสิ้นของพญามังกร รายละเอียดจะเป็นอย่างไร และทำไมกูรูทั่วโลกถึงมองว่าปี 2026 อาจจะเป็นปีที่ยากลำบากของจีน เรามาแกะรอยไปพร้อมๆ กันค่ะ

 

สัญญาณอันตรายจากยอดค้าปลีกที่ต่ำเตี้ยติดดิน

เริ่มต้นกันที่ตัวเลขที่ทำเอาตลาดหุ้นและนักวิเคราะห์ถึงกับช็อก นั่นคือ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ประจำเดือนพฤศจิกายนค่ะ ตัวเลขการเติบโตออกมาอยู่ที่เพียงแค่ 1.3% เท่านั้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้สำคัญมากนะคะ เพราะมันสะท้อนถึงกำลังซื้อของคนในประเทศจีนจริงๆ และความน่าตกใจคือ นี่เป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 เป็นต้นมาเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดการณ์ไว้มาก ซึ่งเดิมทีตลาดมองไว้ที่ 2.9% แต่ของจริงออกมาไม่ถึงครึ่งของที่คาดไว้ด้วยซ้ำ

ทำไมตัวเลขถึงออกมาแย่ขนาดนี้? สาเหตุหลักมาจากหลายปัจจัยรุมเร้าค่ะ อย่างแรกคือยอดขายรถยนต์ที่อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์อย่าง "วันคนโสด" (Singles’ Day) ที่ปีนี้มีการเลื่อนโปรโมชั่นให้เริ่มเร็วขึ้น ทำให้กำลังซื้อส่วนใหญ่ถูกดึงไปใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว พอมาถึงเดือนพฤศจิกายน ตัวเลขจึงดูแผ่วลง

นอกจากนี้ยังมีผลทางสถิติที่เรียกว่า "ฐานสูง" (High Base Effect) จากปี 2024 เพราะช่วงปลายปีที่แล้วรัฐบาลจีนมีการอัดฉีดเงินอุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ตัวเลขปีก่อนสูงเกินปกติ พอมาเทียบปีนี้ ตัวเลขการเติบโตจึงดูน้อยลงไปอีกค่ะ

 

ภาคการผลิตและการลงทุนที่กำลังหดตัว

ไม่ใช่แค่คนไม่จับจ่ายใช้สอยเท่านั้นนะคะ แต่ภาคการผลิตและการลงทุนก็ดูเหนื่อยไม่แพ้กัน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวอยู่ที่ 4.8% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ทำได้ 4.9% แต่จุดที่น่ากังวลที่สุดอยู่ที่ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed-asset investment) ซึ่งหมายถึงการลงทุนสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร หรือการก่อสร้างต่างๆ ตัวเลขสะสม 11 เดือนแรกของปีนี้ หดตัวลงไปถึง 2.6% สาเหตุหลักมาจากการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราการว่างงานในเขตเมืองจะยังทรงตัวอยู่ที่ 5.1% แต่การที่การลงทุนหดตัวแบบนี้ สะท้อนว่าภาคธุรกิจเองก็ไม่มั่นใจที่จะขยายกิจการค่ะ

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ออกมายอมรับตรงๆ เลยว่า เศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก และที่สำคัญคือ "อุปสงค์ในประเทศที่ไม่เพียงพอ" ซึ่งคำนี้แปลง่ายๆ ก็คือ คนในประเทศไม่มีเงิน หรือไม่กล้าใช้เงินนั่นเองค่ะ ปัญหานี้กำลังนำไปสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) ที่ฝังรากลึก ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้กำไรของบริษัทลดลง และกดดันค่าจ้างแรงงานให้ต่ำลงไปอีก

 

วิกฤตอสังหาฯ : แผลใหญ่ที่ยังเลือดไหลไม่หยุด

มาเจาะลึกกันที่ "ตัวการสำคัญ" ที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนมาตลอด 4 ปี นั่นคือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ค่ะ ข้อมูลล่าสุดเดือนพฤศจิกายนยืนยันชัดเจนว่าวิกฤตนี้ยังไม่จบง่ายๆ ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองใหญ่ ลดลง 0.39% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนราคาบ้านมือสอง (Resale Home) ซึ่งเป็นตัวสะท้อนราคาตลาดที่แท้จริงมากกว่าเพราะรัฐบาลแทรกแซงน้อยกว่า ก็ ลดลงไปถึง 0.66%

ความน่ากลัวของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แค่ราคาที่ลดลง แต่อยู่ที่ "ความเชื่อมั่น" ที่พังทลายค่ะ ตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง China Vanke Co. ซึ่งเคยเป็นพี่ใหญ่ในวงการและถูกมองว่าแข็งแกร่ง กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก จนเกิดความกังวลว่าจะเกิดวิกฤตหนี้รอบใหม่ซ้ำรอยบริษัทอื่นๆ ที่ล้มไปก่อนหน้า นักวิเคราะห์จาก Citigroup ถึงกับออกบทวิเคราะห์เตือนว่า ตลาดบ้านจีนจะต้องเผชิญกับ "ความจริงที่โหดร้าย" (Harsh reality) ในปี 2026 โดยคาดว่ามูลค่ายอดขายบ้านทั่วประเทศจะลดลงอีก 11% หากไม่มีสภาพคล่องเข้ามาช่วย

ทางด้าน John Lam หัวหน้าฝ่ายวิจัยอสังหาฯ จีนของ UBS ซึ่งเคยมีมุมมองเชิงบวก ก็เปลี่ยนท่าที โดยมองว่าราคาบ้านในจีนจะลดลงต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี และให้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า ราคาบ้านมือสองในเมืองใหญ่ๆ ตอนนี้ร่วงลงมาจากจุดสูงสุดกว่า 1 ใน 3 แล้วค่ะ

ส่วน Fitch Ratings ก็ประเมินว่ายอดขายบ้านใหม่เชิงปริมาณพื้นที่อาจลดลงอีก 15-20% ก่อนที่ตลาดจะเริ่มทรงตัวได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าหนี้เสีย (Bad Debt) ของธนาคารที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปีหน้า

 

ความเสี่ยงจากต่างประเทศและนโยบายของรัฐ

สถานการณ์ในประเทศที่ว่าแย่แล้ว จีนยังต้องเจอกับพายุจากต่างประเทศอีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาและเริ่มสงครามกำแพงภาษี (Tariff War) การที่จีนพึ่งพาการส่งออกเพื่อประคองเศรษฐกิจในปี 2025 ที่ผ่านมา อาจจะใช้ไม่ได้ผลในปี 2026 เพราะกระแสการกีดกันทางการค้ากำลังลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ

รัฐบาลจีนเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ ในการประชุมผู้นำด้านเศรษฐกิจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการประกาศให้ "การกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ" เป็นวาระแห่งชาติอันดับหนึ่ง รัฐบาลพยายามออกมาตรการต่างๆ เช่น การพิจารณาให้เงินอุดหนุนสินเชื่อบ้าน การลดภาษี และการสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจเข้าซื้อสต็อกบ้านที่ขายไม่ออกเพื่อลดซัพพลายในตลาด แต่ในขณะเดียวกันก็มีด้านมืดของการจัดการข้อมูล เพราะมีรายงานว่าทางการสั่งระงับการเผยแพร่ข้อมูลของเอเจนซี่เอกชนบางราย และมีการเซ็นเซอร์โพสต์ที่มีมุมมองลบต่อภาคอสังหาฯ ในเซี่ยงไฮ้ด้วย

 

บทสรุปและมุมมองสู่อนาคต

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ Raymond Yeung หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ANZ Banking Group มองว่า การหดตัวของอสังหาฯ และการชะลอตัวของยอดค้าปลีกที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้ เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเย็นลงเร็วกว่าที่คิด ซึ่งขัดแย้งกับความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เขาแนะนำว่าในปี 2026 ทางการจีนจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างที่ "ยิ่งใหญ่และเป็นระบบ" (Ground breaking and holistic) ไม่ใช่แค่มาตรการปะผุเล็กๆ น้อยๆ แบบที่ทำอยู่

สรุปแล้ว ภาพรวมเศรษฐกิจจีนส่งท้ายปี 2025 เข้าสู่ปี 2026 ยังคงเต็มไปด้วยขวากหนามค่ะ การที่กำลังซื้อในประเทศหายไปพร้อมกับวิกฤตอสังหาฯ ในขณะที่ประตูการค้าโลกเริ่มปิดแคบลง ถือเป็นโจทย์หินที่รัฐบาลจีนต้องแก้ให้ได้ นักลงทุนอย่างเราต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดนะคะว่า "ยาแรง" ชุดต่อไปจากปักกิ่งจะออกมาเมื่อไหร่ และจะแรงพอที่จะกู้ศรัทธากลับมาได้หรือไม่ เพราะถ้าจีนสะดุด แรงสั่นสะเทือนจะส่งผลถึงพอร์ตการลงทุนทั่วโลกแน่นอนค่ะ

 

 

 

ที่มา.. Beauty Investor


ฒ ผู้เฒ่า