2 หุ้นใหญ่กลุ่มโรงพยาบาล “BDMS-BH” รับอานิสงส์มาตรการวีซ่า STV
ภายหลังมีมาตรการวีซ่าพิเศษ หรือ Special Tourist VISA (STV) สำหรับผู้ที่มาพำนักระยะยาว (long stay) แน่นอนว่าจะส่งผลบวกกับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทั้งโรงแรม บริการและร้านอาหาร นอกจากนี้แล้วยังมีหุ้นอีกกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์และเป็นเซ็คเตอร์ที่มีเรียลดีมานด์สูง นั่นคือ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มีกำลังซื้อสูง นำโดยหุ้นบิ๊กแค็ปอย่าง BDMS และ BH ซึ่งเป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
สำหรับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ปัจจุบันเป็นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในไทยและในอาเซียน มีเครือข่ายโรงพยาบาลในไทยและกัมพูชา รวม 49 แห่ง จำนวนเตียงรวมประมาณ 8,300 เตียง ซึ่งดำเนินการผ่านโรงพยาบาล 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และกลุ่มโรงพยาบาลรอยัล
โดยรายได้ประมาณ 18% มาจากการดำเนินงานผ่านบมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ รองลงมาเป็นบมจ.สมิติเวช 15.63% และบจก.บีเอ็นเอชฯ ในสัดส่วน 3.76% โดยในภาพรวมการประกอบธุรกิจของ BDMS แต่ละวันมีจำนวนผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 4,195 ราย สัดส่วนรายได้ยังคงเป็นผู้ป่วยชาวไทยเป็นหลัก หรือประมาณ 76% ขณะที่สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ คิดเป็น 24%
และนอกจากรายได้จากการให้บริการในโรงพยาบาลแล้ว BDMS ยังเปิดคลินิกเฉพาะด้าน BDMS Wellness Clinic โดยร่วมมือกับ Mövenpick Hotels & Resorts เพื่อเจาะตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หรือ Medical Tourism โดยตรง โดยปัจจุบันเปิดให้บริการ 293 ห้อง และการเปิดโรงพยาบาลชีวา ทรานสิชั่นนัล แคร์ บริการดูแลผู้ป่วยในระยะพักฟื้น กายภาพบำบัด หรือช่วง Transitional
ทั้งนี้นอกจากการเติบโตของ Medical Tourism แล้ว ปัจจัยหลักที่ทำให้ “หุ้นโรงพยาบาล” เติบโตได้ระยะยาวคือ มาจากการเพิ่มขึ้นของสังคมผู้สูงอายุ (ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) ซึ่งในรายงานประจำปีบริษัทอ้างอิงบทวิเคราะห์ศูนย์วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยาว่า ผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 13.1 ล้านคนในปีหน้า จาก 11.2 ล้านคนในปี 2560 ขณะเดียวกัน “การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง” ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้หุ้นโรงพยาบาลเติบโต
จับมือประกันรายใหญ่ของจีน-อินโดฯ
นอกจากธุรกิจรักษาพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว ปี 2563 นี้เป็นปีสำคัญที่ BDMS หันมาลุย “ธุรกิจประกันภัย” หรือทำตลาดแบบ Insurance Marketing โดยร่วมมือกับประกันหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็นวิริยะประกันภัย อลิอันซ์ อยุธยา โบรกเกอร์ประกัน TQM ตลอดจนความร่วมมือกับ Ping An Group ซึ่งเป็นบริษัท Online Healthcare Platform ใหญ่ที่สุดในจีน มีสมาชิกประมาณ 289 ล้านคน และ Alodoctok ซึ่งเป็นบริษัท Online Healthcare Platform ที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย มีสมาชิกเข้ามาใช้งานราว 18 ล้านคนต่อเดือน
แคนเซิลดีลซื้อหุ้น BH
ทั้งนี้สำหรับประเด็นการเข้าซื้อหุ้น BH คู่แข่งในตลาดกำลังซื้อสูง ทาง BDMS ได้ยกเลิกการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ BH แล้ว โดยปัจจุบันนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้นใหญ่ 2,504,132,840 หุ้น หรือสัดส่วน 15.76%
ผู้ป่วยเมียนมาทำรายได้สูงสุดให้ BH
อีกฝั่งคือหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH มีสตอรี่ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน เป็นโรงพยาบาลไฮเอนด์ที่มีจุดขายเรื่องการมีสัดส่วน “ผู้ป่วยต่างชาติ” มากที่สุดในกลุ่ม โดยปีที่ผ่านมาบำรุงราษฎร์ได้ให้บริการรักษาผู้ป่วยชาวต่างชาติจากกว่า 180 ประเทศ รวมกว่า 632,000 ครั้ง โดยประเทศที่ทำรายได้สูงสุด 3 อันดับแรกคือ เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และคูเวต ทั้งนี้ BH มีจำนวนเตียงที่จัดให้บริการผู้ป่วย 580 เตียง และมีความสามารถรองรับผู้ป่วยนอกมากกว่า 5,500 คนต่อวัน และมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วย 5,500 คนต่อวัน จำนวนผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 2,673 คน หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยการให้บริการ 48.5%
โดยโครงสร้างรายได้ธุรกิจโรงพยาบาล มาจากการให้บริการโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่บำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล บำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลสหคลินิก ศูนย์วิทยาศาสตร์และเวชศาสตร์ชะลอวัย ไวทัลไลฟ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์และเวชศาสตร์ชะลอวัย ไวทัลไลฟ์ คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมไตเทียมบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เอสเพอรานซ์คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมมะเร็ง ในกรุงเทพมหานคร คลินิกย่างกุ้ง ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และโรงพยาบาลอูลานบาตอร์ ซองโด ในสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย โดยรายได้หลักนั้นมาจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์ชั่นแนล
อย่างไรก็ตามผลกระทบ Covid-19 ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก 2563 บริษัทรายงานว่ามีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ 58.9% ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ที่มีสัดส่วน 67.5%
สำหรับทั้ง 2 หุ้นใหญ่ ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบรเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับ Wealthy Thai ว่า เริ่มจากภาพรวมหุ้นโรงพยาบาลก่อน ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีเท่าที่ควร สำหรับกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่เน้นการให้บริการผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งแน่นอนว่าพอปิดประเทศจากสถานการณ์ covid-19 กระทบกับรายได้โดยตรง ทั้งนี้ถ้าไม่มีปัจจัยดังกล่าว หุ้นโรงพยาบาลก็ได้รับผลกระทบจาก 2 เหตุผลคือ 1.หากไม่ใช่การป่วยที่รุนแรง คนหลีกเลี่ยงที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ 2.ภาวะทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากเดิมที่ยอมจ่ายแพงเพื่อรับการรักษาพยาบาลที่ดี แต่เปลี่ยนเป็นการใช้สิทธิต่างๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิตามประกัน สิทธิประกันสังคม สิทธิบัตรทอง จึงได้รับผลกระทบกันหมดทั้งโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน
“สำหรับมาตรการ Special Tourist VISA ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ยาวขึ้น หรือ 90 วัน และสามารถต่อเวลาได้ 270 วัน น่าจะส่งผลดีกับหุ้นโรงพยาบาลที่ให้บริการรักษาที่ค่อนข้างนาน โดยเฉพาะ BH เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติสูงที่สุดในกลุ่ม รองลงมาคือ BDMS” นายกิจพณกล่าว
ความเสี่ยงที่ BH ต้องระวัง!!!!!!
อย่างไรก็ตามแม้ว่า BH จะได้รับประโยชน์จากมาตรการฯ มากกว่า BDMS แต่ BH จะมีความเสี่ยงจากการมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งยังคงไม่กลับเข้ามาในระดับปกติในเวลาที่เร็วมากนัก ขณะที่ผู้ป่วยในประเทศ แม้ว่าทางโรงพยาบาลจะปรับ “แพ็คเกจการให้บริการ” แต่ด้วยความที่ค่าเฉลี่ยค่าใช้จ่ายการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ลดต่ำลง ก็ยังเป็นปัจจัยกระทบผลประกอบการหุ้นโรงพยาบาล ในด้านความสามารถในการทำกำไร หรือมาร์จิ้น ส่วน BDMS ประเมินว่า BDMS ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว การทยอยกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะทำให้ BDMS ฟื้นได้เร็วกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติที่น้อยกว่า BH อยู่แล้ว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก