วงการประเมินผลงานแบงก์ปีนี้ กำไร-สินเชื่อ พีคสุดรอบ 5 ปี คาดฟันกำไรสุทธิ 2.06 แสนล้านบาท หรือโต 10% จากปี 60 ให้น้ำหนักการลงทุนทั้งกลุ่ม "Overweight" ยก TCAP-TMB-BBL-KBANK-TISCO เป็นหุ้นเด่น แต่ระวัง Q4/60 กำไรกลุ่มลดลง 4.5% ผลจากการตั้งสำรองหนี้เสียกดดัน
*** ปรับเพิ่มประมาณการกำไรกลุ่มแบงก์ขึ้น 2-4% ในช่วง 3 ปี
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของหุ้นในกลุ่มแบงก์โดยรวมขึ้น 2-4% ในปี 61-63 สะท้อนตัวเลขสินเชื่อใน 11 เดือนแรกปี 60 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 61 ที่ดีกว่าคาด โดยได้ปรับเป้าราคาหุ้นแบงก์โดยรวมขึ้นราว 2-10%
สำหรับ TCAP คาดกำไร Q4/60 โดดเด่นโต 23% YoY และโต 17% QoQ มีบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น MBK ปันผล 4% ต่อปี เป้าพื้นฐานใหม่ 58 บาทต่อหุ้น
*** ประเมินสินเชื่อ-กำไรปีนี้ เติบโตแรงสุดรอบ 5 ปี
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่า วงจรการลงทุนจะถูกกล่าวถึงอีกครั้งในปี 61 ซึ่งโดยปกติของการเริ่มต้นของ Early expansion phase จะส่งผลต่อการเติบโตของสินเชื่อในระยะเวลาประมาณ 3-5ปี คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตของกลุ่มธนาคารจะโต 6% YoY ในปี 61 เป็นอัตราการเติบโตที่ดีที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากคาดการณ์การตั้งสำรองหนี้สูญลดลงราว 6% YoY รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคาดเพิ่มขึ้น 8% YoY และคาดการณ์รายได้ดอกเบี้ยสุทธิโต 3% YoY
ส่วน NPL เราคาดว่าตลาดจะสนใจน้อย โดยคาดว่า NPL Ratio ในปี 61 จะลดลงมาอยู่ที่ราว 3% จากจุดสูงสุดที่ 3.2% ในปี 58 ปัญหา NPL ที่สูงขึ้นในรอบเศรษฐกิจนี้จะจบลงอย่างสมบูรณ์ในปี 61 และคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 3% ไปจนถึงปี 62 ซึ่งเป็นไปตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
จากปัจจัยดังกล่าวทำให้คาดว่ากลุ่มธนาคารจะแสดงผลกำไรปี 61 เป็นจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.06 แสนล้านบาท โต 10% YoY ดีที่สุดในรอบ 5 ปี
*** ให้น้ำหนัก "Overweight" ยก KBANK-BBL-TISCO เด่น
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร Overweight พร้อมกับ Re-rating PBV ของ BBL, KBANK, BAY และ TMB ขึ้นเพื่อสะท้อนปี61 ส่วน ROE ปรับขึ้นจากปี 59-60 จากปัจจัยบวกเฉพาะตัว
สำหรับ TOP Pick ของกลุ่มเลือกจาก 1.การเป็นผู้นำในธุรกิจ 2.ได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและ 3. มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดีกว่ากลุ่ม ยกให้ Top Pick ของกลุ่มคือ KBANK ราคาเหมาะสม 264 บาท และ BBL ราคาเหมาะสม 244 บาท
บล.กสิกรไทย ยกให้ TISCO เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากเป็นหุ้นที่อิงกับ Investment Cycle มองว่า TISCO มีโอกาสในการเติบโตสูงจากแบรนด์สมหวังและการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (cross-selling) ให้กลุ่มสินเชื่อรายย่อยของ SCBT รวมถึงประเด็นการฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับของสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะที่บริษัทยังคงมีคุณภาพสินเชื่อ อัตราการตั้งสำรอง (coverage ratio) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม โดย Valuation ปัจจุบันยังถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารฯขนาดเล็ก แต่มี EPS Growth ในปี 2561 สูงที่สุด
บล.เอเชียเวลท์ คงคำแนะนำ "Overweight" สำหรับกลุ่มธนาคาร และเราได้ re-rate PBV ของกลุ่มธนาคารขึ้นเป็น 1.44 เท่า จากก่อนหน้านี้ที่ 1.37 เท่า เนื่องจากเรามองว่า ROE ของกลุ่มธนาคารโดยรวมจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2560 เป็นไปตามเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น หุ้นเด่นที่แนะนำสำหรับกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ BBL (ราคาเป้าหมาย AWS ใน 12 เดือนข้างหน้า: 234 บาท) และ KBANK (ราคาเป้าหมาย AWS ใน 12 เดือนข้างหน้า: 265 บาท) แม้ธนาคารเหล่านี้แสดงการเติบโตที่ซึมเซาในปีที่ผ่านมา แต่ บล.เอเชียเวลท์ มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มในอนาคต เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากเศรษฐกิจในช่วงขาขึ้น
และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับกลุ่มธนาคารขนาดกลางถึงเล็ก เราชอบ TCAP (ราคาเป้าหมาย AWS ใน 12 เดือนข้างหน้า: 66.50 บาท) และ TMB (ราคาเป้าหมาย AWS ใน 12 เดือนข้างหน้า: 3.40 บาท) จากสินเชื่อที่เติบโตดีเหนือคู่แข่งและความสามารถในการทำรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง
*** คาดกำไรกลุ่ม Q4/60 อยู่ที่ 4.3 หมื่นลบ. ลดลง 4.5%
บล.เคทีบี ให้น้ำหนักกลุ่มแบงก์เท่ากับตลาด คาดกำไรสุทธิรวมใน Q4/60 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 4.5% YoY แต่เพิ่มขึ้น 6.1% QoQ โดยการหดตัว YoY เกิดจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยสูญที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยคาดว่า ธนาคารที่จะโตได้ทั้ง YoY และ QoQ มี BBL, TCAP และ TMB ในส่วนของสินเชื่อใน Q4/60 คาดว่า จะเติบโตได้ที่ 3.6% YoY และ 1.9% QoQ ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ในแง่ของ NPL Ratio มองว่า จะทำจุดสูงสุดในช่วง Q4/60 ที่ระดับ 3.40% และจะค่อยๆ ลดลงในปี 61
ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำสำหรับกลุ่มธนาคารฯเป็น "เท่ากับตลาด" โดยให้เก็งกำไรใน TMB ราคาเป้าหมายที่ 3.20 บาท จากงบ Q4/60 ที่จะออกมาเติบโตดีเหนือกลุ่ม และ KKP ราคาเป้าหมายที่ 84 บาท จาก IFF ที่จะเริ่มขายหน่วยลงทุนได้ใน มี.ค.61 ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีรายได้ในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาเพิ่มเติม ส่วนในระยะยาว เรายังชอบ BBL และ KBANK
ด้าน บล.เอเชียเวลท์ คาดกำไรไตรมาส 4/60 ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 4.69 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.4% QoQ แต่ลดลง 6.9% YoY คาดกำไรที่ทรงตัว QoQ มาจากระดับการตั้งสำรองที่ชะลอตัวลง แต่ถูกหักล้างโดยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในไตรมาสสุดท้ายของปี ขณะที่กำไรสุทธิรวมที่คาดว่าจะลดลง YoY กดดันโดยการตั้งสำรอง แม้เราคาดระดับการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4/60 จะลดลง 3.6% QoQ แต่การตั้งสำรองโดยรวมยังถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 36.1% YoY
ประเมิน TISCO และ BAY จะแสดงการเติบโตกำไรสุทธิ YoY สูงที่สุด โดย TISCO ได้แรงหนุนจากระดับการตั้งสำรองที่ลดลง รวมทั้งสินเชื่อที่สูงขึ้นจากการถ่ายโอนสินเชื่อรายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) และ BAY ได้ปัจจัยหนุนจากสินเชื่อที่เติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่คาด SCB และ KBANK จะรายงานกำไรสุทธิหดตัวมากที่สุด YoY ฉุดโดยการตั้งสำรองที่สูงขึ้น เนื่องจากธนาคารทั้ง 2 แห่งคาดระดับการตั้งสำรองในไตรมาส 4/60 จะอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับในไตรมาส 3/60