ห้องเม่าปีกเหล็ก

เสื้อผ้าไทยในพายุ: ปรับตัวอย่างไร ให้เรือไม่อับปาง?

โดย ซิมโฟนี
เผยแพร่ :
48 views

เสื้อผ้าไทยในพายุ: ปรับตัวอย่างไร ให้เรือไม่อับปาง?

 

อดีตดาวจรัสแสง

เครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอเคยเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งของไทย

ด้วยห่วงโซ่อุปทานครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ตั้งแต่การผลิตเส้นใย ปั่นด้าย ทอผ้า ฟอกย้อม ไปจนถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูป

ผลิต (OEM) ให้แบรนด์ระดับโลก สร้างงานและรายได้จำนวนมหาศาล

แต่เมื่อโลกเปลี่ยนเร็ว เรายังพายเรือแบบเดิมอยู่หรือเปล่า?

 

 

มรสุมระลอกที่ 1: การแข่งขันรุนแรง

เมื่อ e-commerce ทำให้โลกแคบลง

แต่การแข่งขันในอุตสาหกรรมกลับแคบยิ่งกว่า

สินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าไทย

ไทยสู้ราคาไม่ไหว โรงงานย้ายฐานไปเวียดนาม

ไทยยังติดกับดักการผลิตแบบเดิมไม่ทัน fast fashion ที่มาไวไปไว

 

ปี 2016–24 ดัชนีผลผลิตหดตัวเฉลี่ย -8% ต่อปี

อัตราการใช้กำลังผลิต ลดลงจาก 65% ในปี 2016 เหลือ 43% ในปี 2024

สัดส่วนการส่งออกลดลงจาก 4.5% ในปี 2000 เหลือ 0.6% ในปี 2024

ขณะการนำเข้าเพิ่มขึ้น 127% จากปี 2014 — จ่อพลิกเป็นขาดดุลถาวร

 

มรสุมระลอกที่ 2: ตลาดหลักหันหลังให้

40% ของเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทยส่งออกไปสหรัฐฯ

ตลาดหลักที่วันนี้กลับกลายเป็น “ความเสี่ยงอันดับต้น”

อัตราภาษี Reciprocal Tariff อาจพุ่งสูงถึง 37%

แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงผ่อนปรน แต่สัญญาณชัดว่า “จะไม่เหมือนเดิม”

คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามยิ่งได้เปรียบ

เพราะมี FTA กับสหรัฐฯ และมีภาพลักษณ์ทางการเมืองที่สหรัฐฯ ไว้ใจมากกว่า

ไทยกำลังกลายเป็นประเทศที่ “แพ้ทั้งราคาและภาษี”

 

มรสุมระลอกที่ 3: ยักษ์แดงทุ่มตลาด

กว่า 50% ของเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไทยนำเข้า มาจาก “จีน”

คู่แข่งรายใหญ่ที่วันนี้ถูกสหรัฐฯ สกัดด้วยภาษีสูงลิ่ว

ผลคือสินค้าเสื้อผ้าจำนวนมหาศาลจากจีนมีแนวโน้ม “ไหลทะลัก” เข้าสู่ไทย

โดยเฉพาะสินค้าที่ราคาต่อหน่วยคือหัวใจหลักของการแข่งขัน

คลื่นลูกนี้อาจรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี เพราะไม่ได้กระทบแค่ผู้ประกอบการไทย 1.2 แสนราย

แต่ยังเสี่ยงทำให้ไทยกลายเป็น “ทางผ่าน” ของสินค้าจีน

 

ถ้าไทยไม่ระวัง อาจเจอมาตรการกีดกันทางการค้าที่แรงขึ้นจากสหรัฐฯ

ที่มองว่าประเทศไทย “รับช่วง” สินค้าจากจีนโดยไม่ควบคุม

 

ทางรอดของไทย…อาจยาก แต่ทำได้

ถ้าสู้เรื่อง “ถูก” ไม่ได้...

ก็ต้องสู้ด้วย “ความแตกต่าง” และ “น่าจดจำ”

ไทยต้องกล้าปรับจาก OEM → ODM → OBM

นั่นคือ... จากแค่ “ผลิตตามสั่ง” สู่ “ออกแบบให้”

จบด้วยกลายเป็น “เจ้าของแบรนด์” เอง

ใช้จุดแข็งเรื่องคุณภาพและดีไซน์

เสริมด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ ขายตรงสู่ผู้บริโภค

และแปรรูปห่วงโซ่ให้กลายเป็นจุดขาย

ภาคเอกชนต้องหันกลับมา “คิดใหม่ ทำใหม่”

การอยู่รอดครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง

แต่เป็นเรื่องของแรงงานกว่า 4 แสนคนที่อยู่ในเรือลำนี้ด้วยกัน

 

Fast Fashion = Slow Death

เบื้องหลังเสื้อผ้าราคาถูกที่เปลี่ยนทุกสัปดาห์ คือห่วงโซ่การผลิตที่ใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น

 

เสื้อ 1 ตัวใช้ “น้ำ” ถึง 2,700 ลิตร

(Hoekstra, A.Y., & Chapagain, A.K. (2007). Water footprints of nations: Water use by people as a function of their consumption pattern. Water Resources Management, 21(1), 35–48.)

 

ใช้สารเคมีมากกว่า 8,000 ชนิด

(Greenpeace (2012). Toxic Threads: The Big Fashion Stitch-Up. Greenpeace International.)

 

แต่กว่า 60% ของเสื้อผ้าเหล่านี้ จะถูกทิ้งภายใน 1 ปี

(Ellen MacArthur Foundation (2017). A New Textiles Economy: Redesigning Fashion’s Future.)

Fast fashion ไม่เพียงแค่ทำลายผู้ผลิตที่ช้ากว่า

แต่ยังทำลายโลกที่ไม่มีเวลาฟื้นตัว

และทำลายคุณค่าของ “แรงงาน” ที่อยู่เบื้องหลัง

.

เรื่องและภาพ: สราลี วงษ์เงิน Economist, Bnomics

════════════════

 

ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก..  Bnomics by Bangkok Bank


ซิมโฟนี