ห้องเม่าปีกเหล็ก

เล็ง “ตัวท็อป” หุ้นรับเหมาฯ

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
80 views

เล็ง “ตัวท็อป” หุ้นรับเหมาฯ ชิงเค้กรถไฟฟ้าเพิ่มอีกแสนล้าน

 

 

ได้เวลาเปิดศึกชิงเค้กเพิ่มอีกแสนล้านสำหรับผู้ประกอบการกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เมื่อการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายสัญญา
 
รฟม. กำหนดให้ผู้รับเหมาก่อสร้างยื่นเอกสารประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี) ระยะทาง 20 กม. มูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท ที่คาดว่าจะประกาศผลผู้ชนะประมูลทั้ง 6 สัญญาได้ต้นปี 2560
 
สำหรับงาน 6 สัญญา ได้แก่ 1.อุโมงค์ใต้ดิน (ศูนย์วัฒนธรรม-รามคำแหง 12) 19,829 ล้านบาท 2.อุโมงค์ใต้ดิน (รามคำแหง 12-หัวหมาก) 20,659 ล้านบาท 3.อุโมงค์ใต้ดิน (หัวหมาก-คลองบ้านม้า) 17,389 ล้านบาท 4.ทางยกระดับ (คลองบ้านม้า-มีนบุรี) 9,586 ล้านบาท 5.ศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดแล้วจร 4,700 ล้านบาท และ 6.งานระบบราง 3,624 ล้านบาท
 
ในวันจันทร์ที่ 7 พ.ย.นี้ รฟม.ยังเตรียมให้ยื่นเอกสารประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 36 กม. มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 30 กม. มูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะประกาศผลผู้ชนะประมูลได้ในวันที่ 17 พ.ย.นี้ ก่อนจะมีการลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในครึ่งแรกของปี 2560
 
Money Channel สอบถามนักวิเคราะห์พื้นฐานที่ดูแลหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ซึ่งในเบื้องต้นยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้ "มากกว่าตลาด" เนื่องจากรัฐบาลสามารถเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆได้ตามกำหนด 
 
ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีเหลือง และสีชมพู ช่วยหนุนภาพรวมของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและช่วยให้ราคาหุ้นของบริษัทฯ ที่มีโอกาสชนะการประมูลปรับตัวได้ดีกว่าตลาด 
 
โบรกเกอร์รายนี้เลือกหุ้น CK เป็นหุ้น Top pick (ราคาพื้นฐาน 39.50 บาท) เนื่องจากมีโอกาสชนะงานประมูลมากที่สุด ภายหลังจากเข้าร่วมมือกับ STEC ในการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้ง 6 สัญญา ทำให้เพิ่มศักยภาพในด้านการประมูลงานมากขึ้น 
 
ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง แม้ว่าจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP จึงยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะมีผู้รับเหมาก่อสร้างเข้าประมูลหรือไม่ แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า BEM น่าจะมีโอกาสชนะงานประมูลดังกล่าวมากที่สุด เพราะด้วยความพร้อมธุรกิจที่อยู่ในเครือเดียวกับ CK ทำให้สามารถกระจายงานรับเหมาก่อสร้างออกมาได้ ขณะที่ทางบริษัทฯ เองก็มีความถนัดด้านบริหารการเดินรถไฟฟ้าอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะมีอุปสรรคต่อการดำเนินงานแต่อย่างใด
 
"ข้อมูลสถิติในอดีตที่มีการประมูลโครงการรถไฟฟ้า 6 ครั้ง พบว่ามีความเป็นไปได้ถึง 67% ที่ราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะถูกเก็งกำไรผลักดันราคาขึ้นมาในช่วง 3 เดือนก่อนหน้าที่จะมีการประกาศผลการประมูล ซึ่งมองว่าหากไม่มีปัจจัยต่างประเทศเข้ามากระทบบรรยากาศลงทุนโดยรวมแล้ว ในเดือน พ.ย.นี้ มีโอกาสหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะเริ่มหันมาเก็งกำไรกันมากขึ้นตาม Sentiment เชิงบวกเข้าสนับสนุนเป็นระยะ ก่อนจะประกาศรายชื่อผู้ชนะโครงการขนาดใหญ่รถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท ที่คาดประกาศชัดช่วงต้นปี 60" นักวิเคราะห์กล่าว
 
ส่วนมุมมองค่าย “เอเซียพลัส” นอกเหนือจากหุ้นในกลุ่มที่เป็นไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ที่น่าสนใจแล้ว นักวิเคราะห์ยังมองว่าหุ้นรับเหมาก่อสร้างจะเป็นหนึ่งกลุ่มที่สร้างความคึกคักให้กับตลาด ภายหลังมีความคืบหน้าการประกาศรายชื่อผู้ประมูลการลงทุนภาครัฐตามแผนเร่งด่วนมูลค่า 1.4  ล้านล้านบาท โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย(ส้ม - ชมพู - เหลือง) ซึ่งในส่วนสายสีส้ม ผู้รับเหมาที่คาดว่าจะมีโอกาสชนะสูงคือ CKและ ITD เพราะเคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน 
 
ส่วนสายสีชมพูและเหลือง ที่เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP  พบว่า ทั้ง ITD CK STEC และ UNIQ  ต่างเข้าประมูลกันถ้วนหน้า พร้อมเปิดตัวพันธมิตรที่มีความชำนาญ นำโดย ITD จะจับมือพันธมิตรจากเกาหลีใต้และฝรั่งเศส ขณะที่ด้าน CK จับมือกับ BEM ส่วน STEC จับมือกับ BTS และทาง UNIQ จับมือกับ SMRTจากสิงคโปร์และจีน  ซึ่งคาดว่าผู้รับเหมาทุกรายน่าจะได้งานตามความสามารถที่แตกต่างกัน 
 
สอดรับกับมุมมองโบรกเกอร์ต่างชาติก่อนหน้านี้ ที่ผู้บริหาร บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) เผยกับ Money Channel ถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ระดับบวกลบ 1,500 จุด ถือว่าไม่ถูกและไม่แพง แต่ต้องเลือกลงทุนเป็นรายกลุ่มและรายบริษัท พร้อมระบุว่ายังชอบธีมลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐที่คาดหวังจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น 
 
บทวิเคราะห์ "เครดิต สวิส" เมื่อต้นเดือนต.ค.  เผยหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ ที่ให้น้ำหนัก “Overweight” ได้แก่ CK (ราคาพื้นฐาน 43 บาท) STEC (ราคาพื้นฐาน 31 บาท) และ BEM (ราคาพื้นฐาน 8.50 บาท)
 
********************************
ทีม Business&Finance, Money Channel

98 Degree