ส่องพื้นฐาน 3 หุ้นในเครือ “พรรคเพื่อไทย”
SIRI-SC-PR9 ปีนี้กำไรเติบโตดีหรือไม่ ?
.
กระแสการเมืองในประเทศยังคงร้อนแรง หลังจากที่ประชุมรัฐสภา โหวตนายกรัฐมนตรีรอบแรก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้คะแนนไม่ถึง 375 เสียง ทำให้ไม่ผ่านการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งแรก และจะมีการเสนอชื่อนายพิธา อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. นี้
.
แต่หลายฝ่ายยังคงมีความกังวลว่าพรรคก้าวไกลจะสามารถหาคะแนนเพิ่มอีก 51 เสียง เพื่อให้ถึงตามเกณฑ์ได้หรือไม่ และหากการโหวตนายกรัฐมตรีในครั้งที่ 2 นายพิธา ไม่ผ่านอีกครั้ง สถานการณ์การเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
.
ล่าสุด นายพิธา ได้สื่อสารผ่านคลิป โดยขอบคุณคะแนนเสียงจากประชาชนและรัฐสภา รวมถึงฝากช่วยกันเชิญชวน ส.ว. ให้ลงมติตามเสียงของประชาชน อีกทั้งยังบอกว่าหากก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ก็พร้อมเปิดทางให้พรรคอันดับ 2 อย่างเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
.
ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทน นายพิธา หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและรอความชัดเจนอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม แม้กระแสข่าวการเสนอชื่อ นายเศรษฐา เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังไม่ชัดเจน แต่เหมือนตลาดหุ้นไทยจะตอบรับในเชิงบวกไปแล้ว รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยก็ได้รับอานิสงส์ในเชิงบวกเช่นเดียวกัน
.
ดังนั้น Wealthy Thai จึงขอพานักลงทุน มาสำรวจพื้นฐานของหุ้นที่มีความเกี่ยวโยงกับพรรคเพื่อไทยทั้ง 3 บริษัทอย่าง SIRI, SC และ PR9 ว่าจะมีแนวโน้มผลประกอบการเป็นอย่างไร
.
SIRI กำไรปี 66 ทำจุดสูงสุดใหม่
มาเริ่มกันที่ SIRI หรือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า SIRI มีแผนเปิดโครงการใหม่เชิงรุกจากไตรมาส 2/66 ถึงไตรมาส 4/66 จำนวน 50 โครงการ แบ่งเป็น แนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 7.25 หมื่นล้านบาท คาดเปิดในไตรมาส 2/66 ราว 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยผลักดันยอดพรีเซล โดยประเมินพรีเซลไตรมาส 2/66 เบื้องต้นที่ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากไตรมาส 1/66 ที่อยู่ที่ 8.09 พันล้านบาท
.
ขณะที่ทิศทางกำไรไตรมาส 2/66 คาดที่ 1 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยจะทำจุดพีคของปีในไตรมาส 4/66 หนุนจากแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่เชิงรุก โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับบนที่มีมาร์จิ้นสูง จะช่วยผลักดันกำไรปกติปีนี้ให้เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 4.46 พันล้านบาท หรือเติบโต 9% จากปีก่อน ให้คำแนะนํา OUTPERFORM ที่ราคา 2.32 บาท คาดปันผลสําหรับครึ่งแรกปี 2565 ที่หุ้นละ 0.075 บาท หรือ 4%
.
SC ปี 66 กำไรนิวไฮต่อเนื่อง
ถัดมา SC หรือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมอง slightly positive ต่อพรีเซลไตรมาส 2/66 ที่ 7.3 พันล้านบาท โต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 48% จากไตรมาสก่อนหน้า ภายหลังมีการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ทั้งนี้การโตจากไตรมาส 2/65 มาทั้งจากกลุ่มแนวราบและคอนโดมิเนียม สะท้อนกำลังซื้อในกลุ่มกลาง-บนที่ทยอยกลับมาดีขึ้น
.
สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 คาดพรีเซลที่ 1.22 หมื่นล้านบาท โต 2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็น 41% จากเป้าปี 2566 ที่ 3 หมื่นล้านบาท โต 23% จากปีก่อน ประเมินโอกาส downside ยังมีเล็กน้อย ทั้งนี้หากพิจารณาครึ่งหลังของปีนี้ที่มีโครงการใหม่รอเปิด 2.28 หมื่นล้านบาท คาดว่าแนวโน้มพรีเซลในช่วงครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรก
.
ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 ที่ 550 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยรวมยังเป็นไปตามที่คาด โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 2.61 พันล้านบาท โต 2% จากปีก่อน ถึงแม้โตไม่มากแต่ยังเป็นนิวไฮต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยให้คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 5 บาท
.
PR9 จับตาครึ่งปีหลังฟื้นตัวโดดเด่น
และสุดท้าย PR9 หรือ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 2/66 คาดผลประกอบการยังคงชะลอตัวจากฐานสูง ซึ่งรายได้เกี่ยวกับ COVID-19 ในไตรมาส 2/65 ราว 20% ของรายได้ เทียบกับไตรมาส 2/66 ที่แทบไม่มีรายได้จาก COVID-19 แล้ว โดยคาดกำไรจะฟื้นเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเป็นการเติบโตจากฐานที่ไม่มีรายได้จาก COVID-19 แล้วเหมือนกัน
.
ประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 600 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อน สนุนจากการกลับมาของกลุ่มลูกค้าปกติทั้งคนไข้ไทยและต่างชาติ โดยคาดว่ากลุ่มลูกค้าเงินสดจะกลับมาจากอุปสงค์คงค้าง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้บริการมากขึ้น ขณะที่คนไข้ต่างชาติปีนี้จะได้แรงหนุนจากการกลับมาของคนไข้จีนหลังผ่อนคลายมาตรการกักตัว ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าจีนราว 6% ของรายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเดินทางมาใช้บริการ IVF
.
นอกจากนี้บริษัทมีแผนให้บริการด้านวัคซีนทดสอบ RT-PCR ชาวจีนที่เดินทางเข้ามา รวมถึงกลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพจากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่งพร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญา โดยปรับคำแนะนำจาก เก็งกำไร เป็น ซื้อ มองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว และคาดผลประกอบการจะกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานที่ 24.10 บาท
