ห้องเม่าปีกเหล็ก

ซีพี ซื้อ “โลตัส” ไม่ง่าย

โดย Durant
เผยแพร่ :
65 views

ซีพี ซื้อ “โลตัส” ไม่ง่าย “กขค.” จ้องอยู่

 

กลับมาฮือฮาอีกครั้ง เมื่อสื่อนอกอย่าง “บลูมเบิร์ก”  รายงานว่า มี  3 กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย จะซื้อกิจการเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย 

 

 

โดย 3 กลุ่มบริษัทใหญ่ จาก 3 ตระกูลคือ ซีพี ของตระกูลเจียรวนนท์  , เซ็นทรัล กรุ๊ป ของตระกูลจิราธิวัฒน์  และทีซีซี กรุ๊ป ของตระกูลสิริวัฒนภักดี

 

งานนี้เหมือน “ซีพี” ของเจ้าสัวธนินท์  เจียรวนนท์ จะมีภาษีมากสุด เพราะถือเป็นผู้ปลุกปั้น ก่อร่างสร้างชื่อ “เทสโก้ โลตัส” ในเมืองไทย ก่อนที่จะขายต่อออกไปในช่วงวิกฤต

 

ก่อนหน้านี้ “เจ้าสัวธนินท์” เองก็เคยออกมาบอกว่า “การจะไปขอซื้อเทสโก้ โลตัสโดยที่เขาไม่ขาย เป็นการเสียมารยาท  แต่หากเขาจะขาย เราก็ยินดีที่จะซื้อ

 

ปัจจุบันทรัพย์สินของเทสโก้ โลตัสในไทยมีมูลค่ากว่า  10,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3 แสนล้านบาท ซึ่งเรื่องเงินสำหรับ “ซีพี” ไม่น่าจะใช่ปัญหา ยิ่งในช่วงวิกฤตของ “บริษัทเทสโก้”  ในอังกฤษ การเจรจาต่อรองจึงไม่น่ายากเย็น

 

 
 

 

แต่หาก “ซีพี” ต้องการซื้อกิจการของเทสโก้ โลตัสจริง แน่นอนว่าสิ่งที่ซีพีจะเผชิญคือ  “การผูกขาด” หรือมีอำนาจเหนือตลาด  ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อครั้งตัดสินใจซื้อ “แมคโคร” ซีพีก็ถูกข้อกล่าวหานี้เช่นกัน

 

ล่าสุดนายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์  กรรมการการแข่งขันทางการค้าและโฆษกคณะกรรมการ การแข่งขันทางการค้า  (กขค.) ได้ออกมาเตือนเช่นกันว่า หากการซื้อขายกิจการ “เทสโก้ โลตัส” เกิดขึ้นจริง จะต้องดำเนินการขออนุญาตและต้องได้รับการอนุญาตจากกขค. ก่อน ที่จะทำการรวมธุรกิจได้  เนื่องจากเข้าข่ายเป็นการรวมธุรกิจ ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560

 

โดยพ.ร.บ. แข่งขันทางการค้าฯ ได้กําหนดแนวปฎิบัติไว้ 2 แนวทาง  คือ 1.  เมื่อมีการรวมธุรกิจแล้วอาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรือเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีอํานาจเหนือตลาด  คือมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% และมียอดเงินขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นผู้ประกอบธุรกิจ 3 รายแรกในตลาดมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเกิน 75%  ต้องขออนุญาต จาก กขค. ก่อนและต้องได้รับการอนุญาตจึงจะทําการรวมธุรกิจได้

 

2.  เมื่อมีการรวมธุรกิจแล้ว อาจก่อให้เกิดการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ต้องแจ้งให้ กขค. ทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่รวมธุรกิจ  โดย กขค. ได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าเป็นการรวมธุรกิจที่มียอดเงินขาย          ในตลาดตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และไม่ก่อให้เกิดการผูกขาด หรือ เป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอํานาจเหนือตลาด

 

วันนี้ เครือซีพี  เป็นเจ้าของกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ 2 รายคือ  “เซเว่น อีเลฟเว่น” โดยบมจ. ซีพี ออลล์ และ “แม็คโคร” โดยบมจ.สยามแม็คโคร  แม้แบรนด์หนึ่งจะเป็นร้านสะดวกซื้อ หรือคอนวีเนียน สโตร์ และอีกแบรนด์เป็นศูนย์ค้าส่ง หรือแคช แอนด์ แครี่ แต่ต้องยอมรับว่าทั้งสองแบรนด์เป็นเบอร์ 1 ในตลาด                

 

 

ปี 2561 บมจ. ซีพีออลล์ มีรายได้รวม 5.27 แสนล้านบาท  เติบโต 7.9% มีกำไร 2.09 หมื่นล้านบาท ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 2.82 แสนล้านบาท เติบโต 9.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 1.05 หมื่นล้านบาท

 

ขณะที่ บมจ. สยามแม็คโคร มีรายได้รวม 1.88 แสนล้านบาท เติบโต 3.2% มีกำไร 5,942 ล้านบาท  ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 1.03 แสนล้านบาท   มีกำไร 2,703 ล้านบาท 

 

 เครือซีพี มีรายได้จากกลุ่มค้าปลีก 2 รายใหญ่นี้กว่า 7 แสนล้านบาท หากซื้อกิจการของเทสโก้ โลตัสสำเร็จ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีก  1.98 แสนล้านบาท  คำนวณเล่นๆ เครือซีพี จะมีรายได้จากธุรกิจค้าปลีกเกือบ 1 ล้านล้านบาท  คิดเป็น 1 ใน 3 ของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท  อาจจะไม่เข้าข่ายผูกขาด แต่หากเจาะลึกเข้าไปดูในธุรกิจ “ร้านสะดวกซื้อ”  ซึ่งปัจจุบัน “เซเว่น อีเลฟเว่น” เป็นเบอร์ 1 ในตลาดซึ่งมีอยู่กว่า 1 หมื่นสาขา เมื่อควบรวมกับ เบอร์ 2 อย่าง “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” ซึ่งมีอยู่กว่า 1,600 สาขา ย่อมถือครองตลาดเกิน 75% แน่นอน 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant