เกิดอะไรขึ้น? หุ้นพุ่ง-บอนด์วิ่ง-ดอลลาร์ร่วง สรุปทุกปรากฏการณ์ในโพสต์เดียว! | Podcast Available
สวัสดีค่ะแฟนเพจทุกท่าน วันนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อีกแล้วววว (อย่างที่บอกมาตลอดแหละว่ามันเป็นเรื่องปกติของตลาดเมกาเค้าแหละ) ส่วนตลาดตราสารหนี้ก็ปรับตัวขึ้นแรงไม่แพ้กัน อะไรเป็นสาเหตุเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้? คำตอบอยู่ในความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อ "ธนาคารกลางสหรัฐฯ" หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เฟด (Federal Reserve) นั่นเองค่ะ
ตอนนี้บรรดานักลงทุนใน Wall Street ต่างพากันเทน้ำหนักลงเดิมพันครั้งใหญ่ว่า เฟดเตรียมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดกันว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้เลยค่ะ

ทำไมตลาดถึงมั่นใจว่า "เฟด" จะลดดอกเบี้ย?
ความเชื่อมั่นของตลาดไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ นะคะ แต่มีสัญญาณสนับสนุนหลายอย่างที่ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเลขเงินเฟ้อ ที่เพิ่งประกาศออกมา แม้จะไม่ได้ดีเลิศเพอร์เฟกต์ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะราคาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีก็ไม่ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้ เรื่องนี้ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าเฟดมี "พื้นที่" มากพอที่จะหันมาใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องกังวลว่าเงินเฟ้อจะพุ่งทะยานจนควบคุมไม่อยู่
อีกหนึ่งปัจจัยที่โหมกระแสความคาดหวังให้ร้อนแรงขึ้นไปอีก คือคำพูดของบุคคลสำคัญอย่าง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า "เราอาจจะได้เห็นการลดดอกเบี้ยเป็นซีรีส์เลยก็ได้ โดยอาจจะเริ่มต้นด้วยการลดถึง 50 basis point (หรือ 0.50%) ในเดือนกันยายนนี้" การออกมาส่งสัญญาณแรงขนาดนี้จากฝั่งรัฐบาล ยิ่งทำให้นักลงทุนแทบจะปักธงรอได้เลย
มุมมองจากนักวิเคราะห์สถาบันการเงินใหญ่ ๆ ก็ไปในทิศทางเดียวกันค่ะ Ulrike Hoffmann-Burchardi จาก UBS Global Wealth Management คาดการณ์ว่า เฟดจะกลับมาลดดอกเบี้ยในเดือนหน้า และจะลดครั้งละ 25 basis points (หรือ 0.25%) ในทุกการประชุมไปจนถึงเดือนมกราคม 2026 เลยทีเดียว รวมแล้วเป็นการลดถึง 100 basis points (หรือ 1.00%) เลยนะคะ
ขณะที่ Rick Rieder จาก BlackRock ก็มองว่า เฟดมีเหตุผลเพียงพอที่จะลดดอกเบี้ย 50 basis points ในเดือนกันยายน เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะยาวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยแบบ "จัดหนัก" Sam Stovall จาก CFRA ยังคงมองว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 25 basis points ในเดือนกันยายนและธันวาคม และจะหยุดดูท่าทีในเดือนตุลาคม ส่วน Ian Lyngen จาก BMO Capital Markets ก็มองว่าแม้ตลาดจะเริ่มคาดการณ์การลด 50 basis points แต่เขาเองยังไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
ตลาดการเงินตอบรับข่าวนี้อย่างไร?
เมื่อความคาดหวังการลดดอกเบี้ยมาเต็มขนาดนี้ ตลาดการเงินก็ตอบรับในเชิงบวกอย่างชัดเจนค่ะ
ตลาดหุ้น: ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 0.3% ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลใหม่ ขณะที่ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้นถึง 1% และดัชนี Russell 2000 ที่สะท้อนหุ้นบริษัทขนาดเล็กก็พุ่งแรงถึง 2% หุ้นในดัชนี S&P 500 ประมาณ 420 ตัวก็ปรับตัวสูงขึ้น
ตลาดตราสารหนี้: นี่คือจุดที่น่าสนใจมากค่ะ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการที่ "yield" หรืออัตราผลตอบแทนลดลง หมายความว่า "ราคา" ของพันธบัตรนั้นสูงขึ้นค่ะ เพราะนักลงทุนแห่กันเข้ามาซื้อพันธบัตรเพื่อล็อกผลตอบแทนที่ดีที่สุดไว้ก่อนที่เฟดจะลดดอกเบี้ยจริงๆ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลง 5 basis points มาอยู่ที่ 4.23% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ยระยะสั้นมากที่สุด ก็ลดลง 5 basis points มาอยู่ที่ 3.68%
ตลาดค่าเงิน: เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.2% เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักๆ ซึ่งเป็นไปตามกลไกปกติค่ะ เพราะเมื่อดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ความน่าสนใจในการถือครองสกุลเงินดอลลาร์เพื่อรับผลตอบแทนก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย
แต่... อย่าเพิ่งวางใจ ยังมีความเสี่ยงซ่อนอยู่
แม้บรรยากาศการลงทุนจะดูสดใส แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง Rich Mullen จาก Pallas Capital Advisorsเตือนว่า ความเสี่ยงใหญ่ที่เฟดกำลังเผชิญคือโอกาสที่เงินเฟ้ออาจพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหันจากผลของกำแพงภาษี แม้ตอนนี้หลายบริษัทจะยังแบกรับต้นทุนไว้เอง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อีกนานแค่ไหน "เพียงเพราะข้อมูลเงินเฟ้อตอนนี้ยังสงบ ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถพุ่งสูงขึ้นได้ในอนาคต" เขากล่าว
นอกจากนี้ Claudia Sahm นักเศรษฐศาสตร์จาก New Century Advisors ก็ย้ำว่า การลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน "ยังไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน 100%" (not a done deal) เพราะเรายังต้องรอข้อมูลสำคัญอีกหลายตัว ทั้งตัวเลขเงินเฟ้ออีกหนึ่งชุด และข้อมูลการจ้างงานที่สำคัญ
เกมการเมืองร้อน: ทรัมป์เดินเกมเปลี่ยนตัวประธานเฟด
อีกหนึ่งมิติที่ซ้อนทับอยู่กับเรื่องเศรษฐกิจและเพิ่มความเข้มข้นให้กับสถานการณ์นี้ คือแรงกดดันทางการเมืองจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อประธานเฟดคนปัจจุบันอย่าง นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า เขาอาจจะเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ "เร็วหน่อย" และได้คัดเลือกผู้ท้าชิงตำแหน่งนี้ไว้แล้วประมาณ 3-4 คน การเคลื่อนไหวนี้ถือว่าไม่ปกติ เพราะเป็นการหาผู้สืบทอดตำแหน่งในขณะที่คนปัจจุบันยังอยู่ในวาระ ซึ่งอาจสร้างภาวะ "เฟดเงา" (Shadow Fed) ที่สร้างความสับสนให้กับตลาดได้
ประธานาธิบดีทรัมป์วิจารณ์นายพาวเวลอย่างหนักหน่วงมาโดยตลอด โดยมองว่าพาวเวลทำงานผิดพลาดและ "ไร้ความสามารถอย่างแท้จริง" (truly incompetent) ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยลงแรงๆ ตามที่เขาต้องการ โดยทรัมป์เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยควรจะต่ำกว่านี้ 3-4% เพื่อลดภาระดอกเบี้ยของประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจ การออกมาประกาศว่าจะแต่งตั้งคนใหม่ล่วงหน้าจึงเป็นการส่งแรงกดดันไปที่นายพาวเวลและคณะกรรมการเฟดโดยตรงค่ะ
ส่องหุ้นเด่น: Apple กับแผนทวงบัลลังก์ AI ครั้งใหญ่
ในขณะที่ตลาดโดยรวมคึกคัก มีหุ้นยักษ์ใหญ่ตัวหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นคือ Apple ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 2% สวนทางกับหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ เหตุผลสำคัญมาจากข่าวแผนการกลับมาทวงบัลลังก์ด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ครั้งใหญ่ ที่บอกเลยว่าทะเยอทะยานมากค่ะ
ตามรายงาน Apple กำลังซุ่มพัฒนาอุปกรณ์ AI ใหม่ๆ หลายชนิด เพื่อทวงคืนภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมกลับคืนมา ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะ (tabletop robot) ซึ่งตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 ที่จะเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจอัจฉริยะ สามารถเคลื่อนไหวติดตามผู้ใช้งานได้ และที่สำคัญคือจะมาพร้อมกับ Siri เวอร์ชันใหม่ ที่ฉลาดล้ำเหมือนมนุษย์ สามารถร่วมวงสนทนาและโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ ในแผนยังมี ลำโพงอัจฉริยะพร้อมหน้าจอ (smart speaker with a display) ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปีหน้า และ กล้องวงจรปิดสำหรับบ้าน เพื่อเข้ามาแข่งขันในตลาด Smart Home อย่างเต็มตัว เรียกได้ว่านี่เป็นความพยายามครั้งสำคัญของ Apple ในการหาแหล่งรายได้ใหม่และพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่โปรเจกต์รถยนต์ไฟฟ้าถูกพับไป และแว่นตา Vision Pro ยังไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเท่าที่ควร ซึ่งแผนการทั้งหมดนี้ก็ได้รับการตอกย้ำจาก CEO อย่าง ทิม คุกที่เพิ่งบอกกับพนักงานว่า "สายผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นน่าทึ่งมาก" ค่ะ
ประเด็นร้อนนอกสนาม: จับตาความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซีย
นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ร้อนแรงไม่แพ้กันและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดโลกได้คือสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย
ก่อนการประชุม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนอย่างแข็งกร้าวไปยังรัสเซีย โดยกล่าวว่าจะต้องเผชิญกับ "ผลกระทบที่รุนแรงมาก" หากประธานาธิบดีปูตินไม่ตกลงในข้อตกลงหยุดยิงในสงครามยูเครน ท่าทีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้หารือร่วมกับผู้นำชาติพันธมิตรในยุโรป ซึ่งต่างก็กดดันให้ทรัมป์ผลักดันให้เกิดการเจรจาโดยตรงระหว่างผู้นำรัสเซียและ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้ความมั่นใจกับชาติพันธมิตรว่าจะไม่เจรจาต่อรองเรื่องดินแดนของยูเครนกับปูติน และจะพยายามผลักดันให้เกิดการประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายขึ้นให้ได้ ประเด็นนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความไม่แน่นอนที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอาจกลายเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบความเชื่อมั่นของตลาดได้ทุกเมื่อ
สัญญาณเตือนจากจีน
ท่ามกลางความคึกคักในสหรัฐฯ อีกฟากหนึ่งของโลกอย่างจีนกำลังเผชิญกับสัญญาณที่น่ากังวลค่ะ โดยข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคมชี้ว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ในสกุลเงินหยวนของธนาคารจีน "หดตัว" เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี! โดยลดลงถึง 49.9 พันล้านหยวน สวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 300 พันล้านหยวน
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เปราะบางอย่างยิ่ง ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจต่างลังเลที่จะก่อหนี้ใหม่ และหันไปเน้นการชำระคืนหนี้เก่าแทน เพราะกังวลเกี่ยวกับรายได้และอนาคตทางเศรษฐกิจ นี่เป็นสัญญาณของภาวะเงินฝืดที่ฝังรากลึก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจกดดันให้เฟดต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายเพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่ะ
เก็บตกข่าวรายบริษัทที่น่าสนใจ
นอกจากภาพรวมใหญ่ ๆ แล้ว ในระดับรายบริษัทก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและหลากหลายมากค่ะ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ในสมรภูมิ E-commerce Amazon รุกหนักในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ประกาศแผนขยายบริการจัดส่งสินค้าในวันเดียวกัน (same-day delivery) ให้ครอบคลุมถึง 2,300 เมืองภายในสิ้นปีนี้ เพื่อท้าชิงความเป็นเจ้าตลาดกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Walmart โดยตรง
Tesla กำลังหาทางขยายบริการเรียกรถโดยสาร (ride-hailing) ไปยังมหานครนิวยอร์ก โดยล่าสุดได้ประกาศรับสมัครพนักงานเพื่อทดสอบเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่บนถนนในเมือง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความพยายามในการบุกตลาดใหม่ๆ ที่ท้าทาย
ในแวดวงเทคโนโลยีและสงครามชิป Nvidia และ AMD สองยักษ์ใหญ่ได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะอนุญาตให้ขายชิป AI รุ่นที่ลดสเปกลงให้กับจีนได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้จากการขาย 15% ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน Oracle ก็ประกาศลดพนักงานในหน่วยธุรกิจคลาวด์ เพื่อควบคุมต้นทุน ท่ามกลางการใช้จ่ายด้าน AI ที่สูงขึ้น
ส่วนยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง Tencent กลับเลือกใช้แนวทางที่ต่างออกไป โดยประกาศว่าจะใช้จ่ายด้าน AI อย่างรอบคอบและมีสติ แม้ว่าธุรกิจหลักทั้งเกมและโฆษณาจะเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ก็ตาม ซึ่งเป็นท่าทีที่สวนทางกับคู่แข่งระดับโลกหลายรายที่กำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเข้าสู่การแข่งขันด้าน AI
ในตลาด IPO หรือการเสนอขายหุ้นครั้งแรก ก็มีดาวเด่นดวงใหม่คือ Bullish ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและเป็นเจ้าของสำนักข่าว CoinDesk ที่ราคาหุ้นพุ่งสูงถึง 84% จากราคา IPO หลังจากระดมทุนได้ถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์
ด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ก็มีดีลใหญ่ เมื่อ Gildan Activewear ตกลงเข้าซื้อกิจการ Hanesbrands ผู้ผลิตชุดชั้นในรายใหญ่ของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าราว 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายของบริษัทเป็นสองเท่า
ปิดท้ายด้วยข่าวในวงการสื่อและความบันเทิง Webtoon Entertainment ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับ Walt Disney เพื่อนำตัวละครดังอย่าง Spider-Man จากค่าย Marvel และ Luke Skywalker จาก Star Wars มาสู่แพลตฟอร์มเว็บตูน
โดยสรุปแล้ว ช่วงเวลานี้ตลาดกำลังอยู่ในโหมด "คาดหวังการลดดอกเบี้ย" อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นแรงส่งสำคัญให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นปรับตัวขึ้น แต่ในฐานะนักลงทุน เราต้องไม่ลืมมองภาพให้รอบด้าน ทั้งแรงกดดันทางการเมืองที่มีต่อเฟด, ข่าวดีเฉพาะตัวของบริษัทอย่าง Apple, ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด และสัญญาณเตือนจากเศรษฐกิจจีน ควบคู่ไปกับการติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าอย่างใกล้ชิดนะคะ เพราะทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้เสมอค่ะ
ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก. Beauty Investor