TOP เบนเข็มสู่ธุรกิจปิโตรเคมี ลุยสร้าง New S-Curve สู่องค์กร 100 ปี

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยภายในงาน "“เปิดวิชั่นแม่ทัพ TOP นำองค์กรก้าวข้ามความท้าทาย ต่อยอดความแข็งแกร่งของโรงกลั่นสู่ธุรกิจปิโตรเคมี รองรับทรานฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่” ว่า บริษัทได้ทบทวนแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและบริบทของธุรกิจ พร้อมก้าวสู่องค์กร 100 ปีอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด "Building on Our Strong Foundation"
.
โดยต่อยอดธุรกิจจากพื้นฐานด้านการกลั่นที่แข็งแกร่งของบริษัทไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง กระจายผลิตภัณฑ์ตามที่ตลาดต้องการโดยเจาะลึกในตลาดภูมิภาคที่มีความต้องการสูง
.
รวมถึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีความผันผวนต่ำและลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนของกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจใหม่อีก 10% ภายในปี 73
.
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/65 บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่นจะปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้น หลังจากกำลังการผลิตของซัพพลายมีไม่เพียงพอกับความต้องการ (ดีมานด์) ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงมาตรการแซงก์ชั่นต่อรัสเซียของประเทศตะวันตกมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ค่าการกลั่นปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากดีมานด์ที่ค่อนข้างฟื้นตัว หลังความต้องการน้ำมันทั้งดีเซลและเบนซินทั่วโลกเริ่มกลับมาใกล้ช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ส่วนราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะย่อตัวลงมาแถว 95-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากอุปทานที่เพิ่มสูงขึ้น
.
อย่างไรก็ตามหากปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่ดีขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดิบก็อาจปรับตัวขึ้นไปแถวระดับ 110-115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้
.
นอกจากนี้ บริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและกำไรจากการเปลี่ยนแปลงการบันทึกบัญชีเงินลงทุนใน บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ประมาณ 11,000 ล้านบาท เข้ามาในงบช่วงไตรมาส 2/65 หลังจากบริษัทเตรียมขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น (AGM) ช่วงสัปดาห์หน้าเพื่อปรับลดสัดส่วนการลงทุนใน GPSC จำนวนทั้งสิ้น 304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนราว 10.78% หรือ มูลค่ารวมประมาณ 22,351 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าการดำเนินการขายหุ้นจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/65
.
นอกจากการขายหุ้น GPSC แล้ว บริษัทคาดว่า จะมีการดำเนินการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (PO) จำนวนไม่เกิน 275.12 ล้านหุ้น ได้ภายในช่วงไตรมาส 3/65 ซึ่งการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้จะแบ่งเป็นเสนอขาย PO จำนวนไม่เกิน 239.23 ล้านหุ้น และ เพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (กรีนชู) จำนวนไม่เกิน 35.88 ล้านหุ้น
.
การระดมทุนทั้ง 2 ส่วนนั้น เป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะกลางถึงยาวของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้น (bridge loans) มูลค่าประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาทให้กับบมจ.ปตท. (PTT) และ สถาบันการเงิน (แบงก์) จากการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินใน CAP ประเทศอินโดนีเซีย
.
โดยประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจะหนุนให้ฐานทุนของบริษัทจะใหญ่มากขึ้นและคงอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit rating) ให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) รวมถึงลดอัตราส่วนระหว่างหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E) ให้ไม่เกิน 1 เท่า จากสิ้นปี 64 ที่อยู่ระดับ 1.4 เท่า ซึ่งช่วยทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
