‘เศรษฐกิจไทย’ ในวันที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เราป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่?
.คุณเคยไหม? ที่ไปตรวจสุขภาพแล้วหมอบอกว่าผลการตรวจร่างกายบางตัวดูดีมาก แต่ผลสรุปกลับพบว่าในภาพรวมสุขภาพของเราน่าเป็นห่วง! อาการแบบนี้ดูจะคล้ายกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยตัวเลขที่ดูขัดแย้งกันเองจนน่าสับสนเหลือเกิน
.จากข้อมูลตัวเลขการส่งออกในไตรมาสแรกนั้นก็ดูแข็งแรงดี มีการเติบโตถึง 13.8% แต่ภาพรวมในระยะยาวที่เป็น
การคาดการณ์ทั้งปีกลับน่ากังวล เพราะจากผลการรายงานคาดว่าปีนี้ประเทศไทยจะโตได้ไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำ ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเศรษฐกิจกำลังอ่อนแรงลงในช่วงที่เหลือของปี นี่คือ "อาการ" ที่หลายคนรู้สึกได้ ถึงแม้จะมีข่าวดีออกมาบ้าง แต่บรรยากาศโดยรวมกลับดูไม่สดใส
.แล้วอาการที่แท้จริงคืออะไรกันแน่? เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เราจะมาลองให้ ‘แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ’ อย่าง ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาช่วยวินิจฉัย ‘อาการเจ็บป่วย’ ที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่นี้กัน
------

ผลการวินิจฉัย หรือเราจะเป็นโรคเรื้อรังที่ซ่อนเร้น?
เมื่อพูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจ คนไทยจำนวนมากมักจะนึกย้อนไปถึงวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 หลายคนอาจตั้งคำถามว่า สิ่งที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้จะเป็นเพียงไข้หวัดที่กลับมาตามฤดูกาลหรือไม่?
.
ดร.ศุภวุฒิ ให้อธิบายให้เห็นภาพที่แตกต่างออกไป โดยเปรียบเทียบว่าวิกฤตต้มยำกุ้งนั้นเหมือน "การติดเชื้อเฉียบพลัน" ในร่างกายที่แข็งแรง กล่าวคือ เป็นปัญหาที่โครงสร้างทางการเงินที่ผิดพลาด แต่ปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ของร่างกาย (ประเทศ) ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ (แรงงาน) หรือพละกำลัง (ศักยภาพการผลิต) ยังคงดีเยี่ยม เมื่อได้รับการรักษาที่เจ็บปวดแต่ตรงจุด ร่างกายจึงฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน
.
แต่สำหรับวิกฤตในปัจจุบัน มันมีลักษณะเหมือน “โรคเรื้อรัง" ที่เกิดจากปัญหาหลายอย่างสะสมอยู่ในร่างกายมานานกว่าทศวรรษโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง มันจึงซับซ้อนและน่ากังวลกว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เราคุ้นเคยมากนัก
------
ไทยตรวจเจอ 3 โรคหลักที่กำลังรุมเร้า
จากการวิเคราะห์ของ ดร.ศุภวุฒิ เราสามารถระบุกลุ่มอาการหลักๆ ที่กำลังรุมเร้าร่างกายของเศรษฐกิจไทยได้ 3 โรคด้วยกัน นั่นคือ
.
โรคหลอดเลือดตีบ (Credit Sclerosis) หรือภาวะสินเชื่อตึงตัวที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ โดยลองจินตนาการว่าระบบการเงินคือระบบไหลเวียนโลหิต ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลอดเลือดของเรากำลังตีบตัน "เงิน" ซึ่งเป็นเหมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ไม่สามารถไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้อย่างสะดวก ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ ไม่กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อไปยังเส้นเลือดฝอยอย่าง SME และภาคครัวเรือน ขณะเดียวกัน บริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นเหมือนอวัยวะสำคัญ กลับพร้อมใจกันลดการลงทุนและคืนเงินกู้ เลือดจึงไม่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ให้เติบโต
.
โรคภูมิแพ้สหรัฐอเมริกา (Dependency Syndrome) ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นเหมือนยาชูกำลังสำคัญมาตลอด จนทำให้เราเกินดุลการค้ากับเขามหาศาล แต่เมื่อ "ผู้ป่วย" อย่างอเมริกากำลังเปลี่ยนนโยบายและอาจไม่ต้องการยาชูกำลังจากเราอีกต่อไป "ยา" ที่เคยบำรุงเราก็อาจกลายเป็น "สารก่อภูมิแพ้" ที่สร้างปัญหาให้เราได้ โจทย์ใหญ่คือ เราจะจัดการกับส่วนเกินทางการค้ามูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาทนี้อย่างไร ในวันที่ผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของเราอาจไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม
.
โรคขาดสารอาหารเชิงโครงสร้าง (Chronic Structural Malnutrition) นี่คือโรคเรื้อรังที่สุดที่ซ่อนอยู่ภายในประเทศไทยมานาน ดร.ศุภวุฒิ ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังขาด "สารอาหาร" ที่จำเป็นต่อการเติบโตในอนาคตถึง 3 ด้าน นั่นคือ ขาดโปรตีน (แรงงานคุณภาพ) เรากำลังขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะซึ่งเป็นเหมือนโปรตีนสำหรับสร้างกล้ามเนื้อใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจ ขาดคาร์โบไฮเดรต (พลังงาน) เรากำลังขาดแคลนพลังงานซึ่งเป็นเหมือนเชื้อเพลิงหลัก และต้องนำเข้าพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคือ ขาดวิตามิน (ผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต) ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่เจอ Product Champion หรือผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นผู้นำการเติบโตในทศวรรษหน้าคืออะไร โดยเฉพาะในวันนี้ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ที่เคยเป็นพระเอกของเรากำลังถูกเปลี่ยนผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน
------
แผนการรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ถ้าเปรียบเทียบว่าประเทศไทยกำลังเจ็บป่วยจนออกอาการให้เห็น ดร.ศุภวุฒิ ได้เสนอแนวทางการรักษา หรือ "ใบสั่งยา" สำหรับเศรษฐกิจไทยไว้หลายขนาน ลองมาดูกันว่ามีอะไรที่จะช่วยเยียวยาและรักษาอาการป่วยเรื้อรังของเศรษฐกิจไทยได้บ้าง
.ยาฉีดกระตุ้นระยะสั้น คือ การพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในระบบเศรษฐกิจที่ตีบตัน
.การทำกายภาพบำบัดระยะยาว หมายถึง การปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อสร้าง "โปรตีน" หรือแรงงานคุณภาพให้ทันต่อโลกยุคถัดไป
.ปรับเปลี่ยนเรื่องพลังงาน ต้องมีการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจนเรื่องพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาในพื้นที่ทับซ้อน หรือการเร่งพัฒนาพลังงานสะอาด เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากภายนอกประเทศ
.ค้นหาเป้าหมายใหม่ นั่นคือการระดมสมองเพื่อค้นหา "วิตามิน" หรือ Product Champion ตัวใหม่ๆ โดยอาจมุ่งเน้นในสิ่งที่เรามีศักยภาพอยู่แล้ว เช่น อุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการ
------
ถึงเวลาที่ต้องซดยาขมหม้อใหญ่กันแล้ว
การวิเคราะห์ของ ดร.ศุภวุฒิ ครั้งนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ความท้าทายที่แท้จริงนั้นจะอยู่ที่ "เจตจำนงของผู้ป่วย" เองด้วย ดังนั้นคำถามสุดท้ายจึงอาจไม่ใช่ว่า ‘ยา’ ที่เราต้องกินนั้นดีหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ‘ร่างกาย’ ที่ชื่อว่าประเทศไทยนี้ พร้อมที่จะยอมรับการรักษาที่อาจจะทั้งขมและเจ็บปวด เพื่อกลับมาแข็งแรงและเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วหรือยัง?
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก.. Business Tomorrow