เตือนเกิดสงครามการค้า”เต็มรูปแบบ” การค้าโลกดิ่งเหว-หนักกว่าช่วงถดถอย
หวั่นกระแสการค้าโลกวูบ 17% หนักกว่าช่วงเศรษฐกิจโลกถดถอยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หากมีการเปิดฉากสงครามการค้าเต็มรูปแบบ ทำภาษีศุลกากรพุ่งสู่ระดับเดิมก่อนมีการจัดทำระบบการค้าพหุภาคี
นายคีธ รอคเวลล์ ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลแห่งองค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยว่านักเศรษฐศาสตร์ขององค์การการค้าโลกประเมินว่า หากเกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบ จนมีการดำเนินมาตรการจำกัดการค้า และส่งผลให้ภาษีศุลกากรกลับไปอยู่ในระดับเดิมก่อนมีการจัดทำระบบการค้าพหุภาคี กระแสการค้าในโลกอาจลดลง 17%
หากเป็นจริง จะถือเป็นกระแสการค้าที่ลดลงมากกว่าช่วงเศรษฐกิจโลกถดถอยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ภาวะถดถอยครั้งหลังสุดเกิดขึ้นในสหรัฐเมื่อปี 2550 สืบเนื่องจากฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์แตกออก จากนั้นก็ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอยตามไปด้วยเมื่อปี 2552
นายรอคเวลล์ชี้ว่า แม้มีการนำมาตรการจำกัดการค้ามาใช้กันอยู่ประจำ แต่ไม่หนักถึงขนาดที่มีการนำมาใช้กันในระยะหลัง โดยมาตรการจำกัดการค้าหมายถึงการจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบใหม่หรือจัดเก็บเพิ่มขึ้น การนำกระบวนการทางศุลกากรมาใช้ มาตรการควบคุมเชิงปริมาณ และมาตรการกำหนดวัตถุดิบท้องถิ่น
ระหว่างเดือนต.ค.2560-ต.ค.2561 มาตรการต่างๆ ที่นำมาใช้นั้น กระทบต่อการค้ามูลค่า 588,000 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าปีก่อนถึง 7 เท่า
นายรอคเวลล์เสริมว่า WTO ได้รับคำร้องให้ระงับข้อพิพาท 24 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว ที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่ทรัพย์สินทางปัญญา แผงพลังงานแสงอาทิตย์ เหล็กกล้า ไปจนถึงอลูมิเนียม
สภาพการณ์ดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่สหรัฐกับจีน ต่างเก็บภาษีตอบโต้กันไปมาเมื่อความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มขึ้น ล่าสุดสหรัฐขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 325,000 ล้านดอลลาร์
ความตึงเครียดและการเก็บภาษีกันไปมา ส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง
เฉพาะความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอย่างเดียว ก็เพียงพอจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก หายไป 0.3% ในปี 2563 แต่หากทั้งสองฝ่ายเดินหน้าทำตามคำขู่ว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าให้หมด ผลกระทบจะหนักกว่านี้
ผลกระทบครึ่งหนึ่ง สืบเนื่องจากการสูญเสียความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ และปฏิกิริยาของตลาด
นายรอคเวลล์ชี้ด้วยว่า การนำเข้าสินค้าทุนทั่วโลก ลดลง 3% ช่วงไตรมาสแรก อันทำให้การนำเข้าสินค้าทุนอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 3 ปี และสะท้อนว่าธุรกิจไม่กระเตื้องขึ้น
“ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นทั่วทุกแห่ง การผลิตภาคอุตสาหกรรมซบเซา ออเดอร์ส่งออกลดลง ทั้งหมดนี้ไม่ดีสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
บางประเทศอาจได้ประโยชน์ระยะสั้น ผลจากการที่สหรัฐ-จีนหันไปหาสินค้าจากแหล่งใหม่ แต่หากสงครามการค้าลุกลามไปถึงภาคยานยนต์ ซึ่งมีสัดส่วน 8% ในการค้าโลก ผลกระทบจะมีสูงและยากที่จะประเมินได้อย่างชัดเจน
นายรอคเวลล์ระบุว่า การใช้การค้ามาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ดูเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการวิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในประเทศ พร้อมยกตัวอย่างว่า บางคนอาจบอกว่าเทคโนโลยีต่างหาก ไม่ใช่กระแสการค้า ที่เป็นตัวการให้คนตกงาน ซึ่งทางออกในเรื่องนี้อาจรวมถึงการหาทางอย่างจริงจัง เพื่อให้ความรู้และฝึกหัดคนในวัยทำงาน
“คำตอบสำหรับเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน และไม่ได้จำกัดอยู่ที่การค้า การตำหนิว่าการค้าหรือผู้อพยพเป็นต้นเหตุสำหรับปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องง่ายกว่าการวิเคราะห์นโยบายในประเทศ ที่อาจมีส่วนให้เกิดปัญหา”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก