ชะตากรรมของไทยแลนด์: ความเป็นกลางที่น่าลำบากใจ
เมื่อเส้นทางที่เลือก “ไม่เลือกข้าง” กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
สำหรับหลายประเทศในอาเซียน การไม่เลือกข้างในเกมอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด แต่สำหรับประเทศไทย… ความเป็นกลางไม่ใช่แค่ “จุดยืน”
แต่เป็น “ความสมดุลที่เปราะบาง”

อยู่ตรงกลาง...เหมือนเป้านิ่งที่โดนเล็ง
ในโลกที่การค้าเป็นอาวุธ และภูมิรัฐศาสตร์คือกระดานหมากรุก การเป็นพันธมิตรกับฝ่ายหนึ่งอาจได้สิทธิประโยชน์บางอย่าง
แต่อาจต้องยอมเสีย “โอกาส” จากอีกฝั่ง
-จีน: เสนอ Belt and Road, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, ตลาดส่งออกมหาศาล
-สหรัฐฯ: พันธมิตรทางทหาร, ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี, การเข้าถึงกลุ่ม G7
ยืนตรงกลางไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อแต่ละฝ่ายต่างต้องการ “ความชัดเจน” ไม่ใช่แค่ “คำมั่น”
มากกว่าการค้า คือเรื่องของความมั่นคง
การตั้งฐานทัพหรือให้สิทธิทางทหารกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจกลายเป็นเป้าทางยุทธศาสตร์ในอนาคต การรักษาระยะห่างจึงไม่ใช่การ “วางเฉย” แต่คือการจัดสมดุลอย่างรอบคอบ
-ติดจีนเกินไป: เสี่ยงถูกมองว่าเป็น "รัฐบริวาร"
-ขยับใกล้สหรัฐฯ มากไป: อาจเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับจีน
ความเสี่ยงของการ “ไม่เลือก” อาจกลายเป็น “ขาดโอกาส”
ในขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ เดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้า-การลงทุนในขั้วต่าง ๆ ไทยยังคงเดินบนเส้นทางกลางที่ขรุขระ
-FTA กับ EU ยังไม่จบ
-CPTPP ยังไม่กล้าตัดสินใจ
-กลยุทธ์เชิงรุกใน RCEP ยังไม่ชัดเจน
ทางออกไม่ใช่แค่ “เป็นกลาง” แต่คือ “เป็นกลางอย่างมีศิลปะ”
บทบาทของภาครัฐในยุคนี้ไม่ใช่แค่การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ต้อง ใช้ความเป็นกลางให้กลายเป็นแต้มต่อ--ดึงการลงทุนจากทุกฝ่าย
-บริหารประเด็นความมั่นคงโดยไม่สร้างความหวาดระแวง
-เดินเกมการทูตเศรษฐกิจให้ชาญฉลาด
เพราะโลกวันนี้ ไม่ใช่สนามให้ผู้ที่เข้มแข็งที่สุดชนะเสมอไป
แต่เป็นเวทีของผู้ที่ “ปรับตัวได้ดีที่สุด”
.
เรื่องและภาพ: ธนโชติ นนทกะตระกูล Economist, Bnomics
════════════════
ทีมา. Bnomics by Bangkok Bank