(Jul 4) คลังเผย 'ดิวดิลิเจนซ์' ใกล้สมบูรณ์100% จ่อชงธปท.เคาะควบ'2แบงก์' : "คลัง" เตรียมเสนอ "แบงก์ชาติ" อนุมัติแผนควบรวม "ทีเอ็มบี- ธนชาต" เร็วๆนี้ เผยขั้นตอนการทำดิวดิลิเจนซ์ใกล้สมบูรณ์ 100% แล้ว คาดภายใน 1-2 เดือน จะเข้าสู่ขั้นตอนประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นและพร้อมจัดตั้งเป็นแบงก์ใหม่ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยคลังเตรียมพร้อมเงินเพิ่มทุนรักษาสัดส่วนถือหุ้น 1-1.3 หมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวจากธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะทำงาน การตรวจสอบบัญชีธุรกิจ(Due diligence)เพื่อควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)กับธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน)ใกล้แล้วเสร็จ 100% คาดว่า กระทรวงการคลังจะสามารถสรุปเสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพื่อพิจารณาอนุมัติได้ภายในเร็วๆนี้ จากนั้น ภายใน 1-2 เดือนจะเข้าสู่ขั้นตอนการนัดประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเพื่อแจ้งกรณีดังกล่าว
"ขณะนี้ การทำ Due diligence มีความคืบหน้าไปมาก ใกล้แล้วเสร็จทั้งหมด ขั้นตอนจากนี้ จะต้องเสนอแบงก์ชาติ พิจารณาอนุมัติในฐานะผู้กำกับ เมื่ออนุมัติแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการรายงานต่อผู้ถือหุ้น หากรายใดไม่ต้องการคงสัดส่วนการถือหุ้น ทางผู้ถือหุ้นใหญ่ เช่น ไอเอ็นจี กระทรวง การคลัง หรือ ธนชาต ก็จะต้องตั้งโต๊ะรับซื้อ" แหล่งข่าวกล่าวว่า กระบวนการทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้ หรือ ภายในเดือนธ.ค.จะต้องเห็นบริษัทใหม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เนื่องจากเงื่อนไขของมาตรการภาษีที่กระทรวงการคลังอนุมัตินั้น กำหนดว่า กระบวนการอนุมัติควบรวมกิจการของสถาบันการเงินจะต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้ ฉะนั้น การควบรวมกิจการของ 2 ธนาคารจะต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ ภายหลังการควบรวมกิจการ ผู้ถือหุ้นหลักจะเป็น ไอเอ็นจีกรุ๊ป กระทรวงการคลัง และ ธนาคารธนชาต โดยขณะนี้ ทุกฝ่ายได้เตรียมเม็ดเงินที่จะนำมาใส่เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วน กระทรวงการคลังนั้น ขณะนี้ได้เตรียมไว้ราว 1-1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะนำมาจากการเงิน ปันผลจากการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์
"แน่นอนว่า กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่อาจจะเป็นอันดับ 2 เพราะไม่ถือเป็นธุรกิจยุทธศาสตร์ที่กระทรวงการคลังต้องเข้าไปลงทุน อย่างไรก็ตาม ในข้อตกลงเดิมที่คลังเข้าไปลงทุนในกิจการทหารไทยนั้น คือ กระทรวงการคลังจะต้องมีอำนาจในการกำหนดนโยบายและร่วมบริหาร โดยตำแหน่งประธานแบงก์จะต้องมาจากกระทรวงการคลัง ส่วนสำคัญเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นที่จะทำให้เกิดกับธนาคารด้วย"
แหล่งข่าวกล่าวว่า การควบรวมกิจการ ของทั้งสองแห่ง จะทำให้ต้องจัดกระบวนทัพด้านบุคลากรใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่ ผู้บริหารระดับCEOลงมา แต่ยืนยัน จะไม่มี การปลดพนักงานออก โดยจะใช้วิธีปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานให้เหมาะสมกับสภาพธุรกิจ หากรายใดไม่ยอมรับ ก็สามารถขอลาออกก่อนกำหนด ซึ่งธนาคารก็พร้อมจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย
"เราไม่มีแผนปลดพนักงานออก แต่จะใช้วิธีปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้ เหมาะสมแทน กรณีที่ลาออกหรือเกษียณ เราก็จะยังเปิดรับคนใหม่ เพื่อเกลี่ยคนให้พอดีกับตำแหน่ง เบื้องต้น ประเมินกันว่า จะมีพนักงานที่เกษียณราวปีละ 30% เชื่อว่า ภายใน 1-2 ปี จำนวนพนักงานจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม"
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า เชื่อว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้ธุรกิจของแบงก์แห่งใหม่ดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะถือว่า เป็นการนำจุดเด่นของแต่ละแห่งมารวมกัน โดยธนาคารทหารไทยก็มีธุรกิจหลักในการปล่อยกู้และระดมเงินฝาก ขณะที่ ธนาคารธนชาตก็มีธุรกิจไฟแนนซ์และเช่าซื้อที่แข็งแกร่ง เมื่อรวมกัน จะทำให้ศักยภาพของแบงก์ใหม่ดีขึ้น สำหรับชื่อธนาคารแห่งใหม่นั้น ขณะนี้ ยังไม่ได้ข้อสรุป
ส่วนการเคลื่อนไหวของหุ้น ทีเอ็มบี ล่าสุดวานนี้(3ก.ค.) ปิดตลาดที่ 1.96 บาท ลดลง 0.01 บาท คิดเป็น 0.51% มูลค่าการซื้อขายรวม 169.15 ล้านบาท ขณะที่ หุ้น บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ธนาคารธนชาต ปิดตลาดวานนี้ที่ 56.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท คิดเป็น 0.45% มูลค่าการซื้อขายรวม 59.08 ล้านบาท
Source: กรุงเทพธุรกิจ