ห้องเม่าปีกเหล็ก

แผนการลงทุน 10 ปีตั้งแต่ปี พ.ศ 2561 ถึงปี พ.ศ 2570

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
53 views

1) ลงทุนในสภาวะตลาดกระทิง เพราะ Fund Fund Rate มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ ตั้งแต่ปัจจุบันที่ 1.50% ไปจนถึง 4.00% โดยการ ลงทุนในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งก็เป็นขาขึ้นรอบใหญ่เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ครึ่งแรกของปี พ.ศ 2561 ไปจนถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 เนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท ของรัฐบาลไทย

2) ชอร์ต Set 50 Derivatives ตั้งแต่ครึ่งแรกของปี พ.ศ 2564 ไปจนถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2564 เนื่องจากตลาดหุ้นอยู่ในสถาวะตลาดหมี หรือ เป็นขาลงรอบใหญ่ เพราะ ฟองสบู่โลกแตก เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปยังจุดสูงสุดในรอบนี้ที่ 4.25% และ ในที่สุด ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ก็จะปรับตัวลงมาตามตลาดหุ้นไปอยู่ที่ 0.25% ตามเดิม

3) ลงทุนในธุรกิจถ่านหินตั้งแต่ครึ่งแรกของปี พ.ศ 2565 ไปจนถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2570 เพราะ Fed Fund Rate กลับมาเป็นขาขึ้นรอบใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และ มีผลทําให้เศรษฐกิจจีนโตได้เกิน 7% และ สุดท้ายก็จะมีผลทําให้ globalCoal NEWC เป็นขาขึ้นรอบใหญ่ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น

หมายเหตุ : 1) Set 50 Derivatives หมายถึง Set 50 Index Futures หรือ Set 50 Index Options อย่างไดอย่างหนึ่ง หรือ ทั้งสองอย่าง

                  2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง, สภาวะตลาดกระทิง, สภาวะตลาดหมี และ ธุรกิจถ่านหิน ได้ใน longtunbysak.blogspot.com

 

บทความประกอบที่  1 จาก จิม โรเจอร์ เรื่อง การคาดการณ์ ดังนี้ :

ถ้ามีการปฏิวัติที่ชิลีเมื่อสองร้อยปีก่อน เราอาจจะไม่รู้ว่าราคาของทองแดงจะเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งสามถึงหกเดือนต่อมา จนกระทั่งเรือเข้าเทียบท่าและไม่มีทองแดงบนเรือ ชิลีเป็นประเทศที่ทําเหมืองทองแดง และถ้าคุณสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการปฏิวัติ คุณจะทําเงินได้มหาศาล ไม่เพียงจากทองแดง แต่ยังรวมสิ่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับราคาทองแดงด้วย นกพิราบสื่อสารที่บินมาลอนดอนเพื่อมาบอกข่าวชัยชนะของเวลลิงตันเหนือนโปเลียน ให้กับ นาธาน รอธส์ไชลด์ ได้ทําประโยชน์อย่างสําคัญให้กับตระกูลนายธนาคารที่โด่งดังในยุโรปตระกูลนี้ การได้ข้อมูลข่าวสารก่อนใครทําให้คุณทําเงินได้มากมาย แต่มันเป็นความจริงต่อเมื่อคุณรู้ว่าคุณจะทําอะไรกับมัน ทุกวันนี้เรารู้เรื่องทุกเรื่องในทันที และทุกคนก็มีข้อมูลข่าวสารเดียวกันแทบจะพร้อมๆ กัน เพราะสังคมทุกวันนี้เป็นสังคมออนไลน์ เพราะฉะนั้น วิจารณญาณหรือความสามารถในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต จึงเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุดในการชี้วัดความสําเร็จของนักลงทุน

สําหรับตัวอย่างการคาดการณืมีดังนี้คือ :

1) Warren Buffett คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้น Downjones จะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 1 ล้าน จุด ในอีก 100 ปีข้างหน้า

2) George Soros คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเกิด Hard Landing

3) Jim Rogers คาดการณ์ว่าจะเกิดฟองสบู่โลกแตกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจาก ปัญหาการพอกพูนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของหนี้สินทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และ จีน

4) ผู้โพสต์คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทย หรือ Set Index จะปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ที่ 5,000 จุด ในอีก 3 ปีข้างหน้าคือใน ปี พ.ศ 2563 สาเหตุเนืองมาจาก Fed Fund Rate เป็นขาขึ้นรอบใหญ่ ก่อนที่ฟองสบู่โลกจะแตกเมื่อ Fed Fund Rate ขึ้นไปอยู่ที่ ระดับ 4.00 - 4.25% ใน ปี พ.ศ 2564

5) คุณพิชัย จาวลา คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทย หรือ Set Index จะปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ที่ระดับ 2,000 - 2,500 จุด ในปี พ.ศ 2561 ด้วยเหตุผลเกียวกับทฤษฎีผลประโยชน์

6) เมื่อเร็วๆ นี้ Jim Rogers ก็ออกมาคาดการณ์ว่า ฟองสบู่ Bitcoin น่าจะแตกในเร็วๆ นี้ เพราะการปรับตัวของ Bitcoin เป็นไปอย่างรวดเร็ว และ Jim Rogers ก็ยังคาดการณ์ต่อไปว่าสังคมโลกต่อไปจะเป็นสังคมไร้เงินสด เพราะ FinTech (  การคาดการณ์ของจิม โรเจอร์ ในเรื่องฟองสบู่ Bitcoin ถือว่าถูกต้อง เพราะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในช่วงต้นปีนี้คือปี พ.ศ 2561 )

เป็นต้น

บทความประกอบที่ 2 จาก จิม โรเจอร์ เรื่อง หลักการลงทุน ดังนี้ :

ผู้คนต่างถามผมอยู่เสมอว่าลงทุนในอะไรดี ซึ่งผมก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง ผมบอกว่า อย่าฟังผม อย่าฟังใครทั้งนั้น ทางเดียวที่คุณจะเป็นนักลงทุนที่ประสบผลสําเร็จคือการลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ดี ทุกคนมีสิ่งที่ตนรู้ดีทั้งนั้น มันอาจจะเป็นรถ แฟชั่น หรืออะไรก็ตาม คุณรู้ดีในเรื่องอะไรสักเรื่อง ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณรู้เรืองอะไรดี ให้คุณถอยมามองดูชีวิตประจําวันของคุณ เมื่อคุณนั่งรอตรวจกับหมอคุณมักจะหยิบนิตยสารอะไรขึ้นมาอ่าน ถ้าคุณเปิดโทรทัศน์คุณมักจะดูรายการประเภทไหน และคุณก็จะรู้ในไม่ช้าว่าคุณสนใจเรื่องอะไรกันแน่ และความรอบรู้ของคุณจะอยู่ในเรื่องใด

ตอนนี้คุณก็พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบผลสําเร็จแล้ว ถ้าคุณมีความสนใจเรื่องรถยนต์ ให้คุณอ่านทุกอย่างที่คุณหาได้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ คุณจะรู้ว่าเมื่อไหร่บางสิ่งที่จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีขนานใหญ่จะเกิดขึ้น จากนั้นให้ตามเรื่องต่อ อ่านเรื่องที่คุณค้นพบให้มากขึ้น มันอาจจะเป็นระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบใหม่ที่กําลังพัฒนาอยู่ เป็นระบบที่เหนือกว่าและถูกกว่าระบบที่กําลังใช้อยู่ และคุณก็รู้ว่าเมื่อมันเข้าสายพานการผลิตเมื่อไหร่ มันจะกินส่วนแบ่งการตลาดขนานใหญ่อย่างแน่นอน หรือมันอาจจะเป็นถนนเส้นใหม่ ผู้คนอาจจะขับรถไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน โรงแรมหรือศูนย์การค้าใหม่อาจจะเปิดที่นั่น กลยุทธพื้นฐานคืออยู่ในสิ่งที่คุณรู้แล้วขยายความรู้ออกไป ถ้ามีคนโทรหาคุณแล้วบอกว่า โอ้ พระเจ้า ตอนนี้มีข่าวใหม่เกี่ยวกับกระบวนการผลิตคอมพิวเตอร์แบบใหม่ คุณต้องไม่ใส่ใจมัน คุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รถยนต์คือสิ่งที่คุณรู้ เพ่งพินิจในสิ่งที่คุณรู้และเมื่อคุณเห็นการเปลี่ยนแปลง คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กําลังจะมาก่อนที่ผมจะเห็นนานทีเดียว นานโขกว่าที่คนอื่นในวอลส์สตรีทจะเห็น เพราะรถยนต์เป็นความชื่นชอบของคุณ มันเป็นเรื่องที่คุณนั่งอ่านอยู่ตลอดเวลา

บทความประกอบที่ 3 จาก จิม โรเจอร์ เรื่อง การลงทุนแบบมุ่งเน้น ดังนี้  :

ถ้าคุณต้องการทําเงินได้มากๆ จงอย่ากระจายการลงทุน โบรกเกอร์สนับสนุนแนวความคิดที่ว่าทุกคนควรกระจายการลงทุน แต่ด้วยสาเหตุหลักคือพวกเขาต้องการปกป้องตัวเอง ถ้าคุณซื้อหุ้นที่ต่างกันสิบตัว สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือหุ้นบางตัวจะไปได้ดี คุณจะไม่หมดตัว แต่คุณก็ทําเงินได้ไม่มากเช่นกัน แม้ว่าคุณจะลงทุนได้ดี แม้ว่าจะมีหุ้นเจ็ดตัวที่ขึ้น และมีแค่สามตัวที่ลง มันก็ดีแต่มันก็ไม่ทําให้คุณรวยขึ้นมาได้ ทางเดียวที่คุณจะรวยก็คือค้นให้พบว่าหุ้นตัวไหนดี เน้นไปที่ตัวนั้น และลงทรัพยากรทั้งหมดของคุณไปที่นั่น แต่คุณต้องดูให้แน่ใจว่าคุณเลือกถูก เพราะมันเป็นทางที่ทําให้คุณหมดตัวเร็วที่สุดเช่นกัน นี่เป็นสาเหตุที่โบรกเกอร์บอกให้กระจายการลงทุน พวกเขาไม่ต้องการให้คุณเจ๊งแล้วไปฟ้องพวกเขา

ถ้าคุณต้องการรวย คุณจงหาสิ่งที่ไช่สักสองสามอย่างแล้วลงทุนในนั้น ถ้าคุณซื้อโภคภัณฑ์ในปี ค.ศ 1970 แล้วถือมันอยู่สิบปี พอถึงปี ค.ศ 1980 คุณขายโภคภัณฑ์ของคุณแล้วซื้อหุ้นญี่ปุ่น จากนั้นในปี ค.ศ 1990 คุณขายหุ้นญี่ปุ่นของคุณแล้วซื้อหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา แล้วขายมันออกไปในปี ค.ศ 2000 คุณจะรวยไม่รู้เรืองเลยตอนนี้ แต่ถ้าคุณกระจายการลงทุนในปี ค.ศ 1970 และซื้อหุ้นแบบเฉลี่ย คุณจะไม่ได้เงินเลยเมื่อสามสิบปีผ่านไป ไช่ คุณสามารถกระจายการลงทุนและคุณจะปลอดภัย แต่คุณจะไม่มีทางรวย สําหรับนักลงทุนที่ต้องการทําเงินให้ได้มากๆ คุณต้องอยู่ในสิ่งที่คุณรู้ อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และลงทุนแบบเน้นๆ นานๆ ครั้ง แน่นอนว่าข้อเสียของวิธีนี้คือถ้าคุณไม่ฉลาดอย่างที่คุณคิดคุณก็จะหมดตัว หมดไม่เหลือ ก็อย่างที่ผมบอกไว้ก่อนแล้วว่า อย่าเชื่อผม จงอยู่ในสิ่งที่คุณรู้

บทความประกอบที่ 4 จาก วอเร็น บัฟเฟตต์ เรื่อง จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว ดังนี้ :

จําไว้ว่าเมื่อราคาพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า มันคือเวลาที่จะบอกลา แต่เมื่อเวลามันตก มันคือเวลาที่จะโทรหาโบรกเกอร์ ในช่วงตลาดกระทิงผู้คนส่วนใหญ่มักจะโลภและมันจะผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะดึงดูดคนแล้วคนเล่าเข้ามาสู่เกมการไล่ราคา ในช่วงเวลาแบบนี้วอเร็นจะระวังตัวและอยู่ห่างจากตลาดหุ้น

ในช่วงตลาดหมีนักลงทุนส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยความกลัวเพราะว่าไม่มีใครอยากจะได้หุ้น พวกเขาขายหุ้นอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจระยะยาว ในช่วงแบบนี้วอเร็นจะกระโดดเข้าสู่ตลาดและซื้อสุดยอดกิจการที่เขาฝันอยากเป็นเจ้าของ

บทความประกอบที่ 5 จาก วอเร็น บัฟเฟตต์ เรื่อง ทิศทางตลาดในระยะสั้น ดังนี้ :

วอลสตรีทมักจะพูดกันถึงเรื่องที่ว่าตลาดหุ้นในระยะสั้นกําลังขึ้นหรือกําลังลง และ ยังคงคาดเดากันไปต่างๆนาๆว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้มันจะขึ้นหรือจะลง วอเร็นไม่สนใจเรื่องของทิศทางตลาดในระยะสั้นแม้แต่น้อย เขาสนใจในเรื่องของนักเลือกหุ้นระยะสั้นที่บริหารกองทุนขนาดใหญ่ว่ากําลังจะทําอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า เพื่อจะหาข้อมูล เขาอ่าน Wall Street Journal ซึ่งทําได้ดีมากในการติดตามผลงานความซื่อบื่อของนักเลือกหุ้นระยะสั้น

บทความประกอบที่ 6 จาก วอเร็น บัฟเฟตต์ เรื่อง โบรกเกอร์ ดังนี้ :

วอเร็นคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่บุคคลซึ่งประสบความสําเร็จอย่างสูงในหน้าที่การงานและนักธุรกิจที่ชาญฉลาดซึ่งใช้เวลาตลอดชีวิตของพวกเขาในการทํางานและสร้างเงินจํานวนมหาศาลจะมาขอคําแนะนําเรื่องหุ้นจากโบรกเกอร์ผู้ซึ่งไม่สามารถที่จะให้คําปรึกษาตัวเองด้วยซํ้าไป และ ถ้าคําแนะนําของโบรกเกอร์นั้นดีมาก ทําไมเหล่าโบรกเกอร์ถึงไม่รวย บางที่อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้รวยจากการให้คําแนะนํา แต่พวกเขารวยจากการคิดค่านายหน้าจากคุณต่างหาก คุณควรจะระวังบุคคลที่จะมาช่วยในการบริหารเงินของคุณเพื่อที่จะทําให้คุณรวยขึ้น โดยเฉพาะถ้าเขาขายคําแนะนําให้คุณได้มากเท่าไรเขายิ่งทําเงินได้มากเท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะมีวาระซ่อนเร้นที่จะใช้เงินของคุณเพื่อทําให้พวกเขารวยขึ้นและถ้าพวกเขาทําให้คุณขาดทุนล่ะ พวกเขาก็แค่ออกไปหาเหยื่อรายใหม่เพื่อที่จะขายคําแนะนําให้

วอเร็นรู้สึกอย่างหนักแน่นเกี่ยวกับความจริงที่ว่าวอลสตรีทมักจะยืนอยู่บนภาพลวงตาเสมอ เขาไม่เคยสนใจในการคาดการณ์ธุรกิจที่นักวิเคราะห์เป็นคนทําแม้แต่น้อย ถ้าไม่นับว่าโบรกเกอร์นั้นทําธุรกิจอย่างไร การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้นมักจะมองโลกทั้งในแง่ดีและร้ายเกินไปเสมอ


ศักดิ์