ห้องเม่าปีกเหล็ก

ผวาโดมิโน"ตั๋วบีอี"เบี้ยวจ่าย ลูกค้าโยกหนีกระทบกองทุน

โดย losomon
เผยแพร่ :
90 views

แหล่งที่มา    http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1483933332

 

จับตาปิดกองทุนเซ่นตั๋วบี/อีเบี้ยวจ่าย ล่าสุดโซลาริสยกเลิกกองทุนแล้ว ระวังIFEC เบี้ยวจ่ายก้อนโต 5 พันล้าน นักลงทุนผวาโดมิโนเอฟเฟ็กต์เบี้ยวหนี้ตั๋วบี/อี ก.ล.ต.ชี้ "ตราสารหนี้เสี่ยงสูง" เพียง 2% ของกองทุนรวมทั้งระบบ เทรนด์ออกตั๋วใหม่โตต่อเนื่องรับยุคล่าผลตอบแทน

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ขณะนี้เริ่มมีบางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มีการปิดกองทุนที่ประสบปัญหาจากตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บี/อี) ของ 2 บริษัทจดทะเบียนที่ผิดนัดชำระหนี้ บมจ.เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) และ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) ซึ่งทำให้เกิดการไถ่ถอนเงินลงทุนออก

โดยเบื้องต้นในปี 2560 นี้ พบว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โซลาริส การประกาศบนเว็บไซต์เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2560 ว่า ได้แจ้ง "ยกเลิก" กองทุนเปิดโซลาริสตราสารหนี้พริวิเลจ 3 เอ็ม 5 เนื่องจากระหว่างวันที่ 22-30 ธ.ค. 2559 บริษัทได้เปิดรับคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า แต่ปรากฏว่าเมื่อสิ้นสุดการเปิดรับคำสั่งดังกล่าวได้มีการขายคืนหน่วยลงทุนสุทธิ คิดเป็นจำนวนเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดให้ บลจ.ยกเลิกกองทุนเมื่อมีการขายคืนตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว

ในส่วนของ บลจ.อื่น ๆ ที่มีข่าวว่าลงทุนในตราสารของ IFEC ได้แก่ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บลจ.แอสเซท พลัส และ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลนั้น ยังไม่มีการออกมาประกาศยกเลิกกองทุน

โดมิโนเอฟเฟ็กต์เบี้ยวหนี้ตั๋วบี/อี

แหล่งข่าววงการตลาดทุนเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรณีการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อีของ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) น่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมกองทุนเป็นวงกว้าง เนื่องจากตั๋วบี/อีของ IFEC มีสถาบันถือครองอยู่หลายราย เช่น บลจ.โซลาริส บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บลจ.แอสเซท พลัส และ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงของผู้ลงทุนกลุ่มสถาบันอาจเพิ่มสูงขึ้น เพราะปัจจุบัน IFEC มีหนี้จากตั๋วบี/อี และตราสารหนี้ที่คงค้างอยู่ในระบบคิดเป็นมูลค่ารวมราว 5,000 ล้านบาท ดังนั้นคาดว่าการผิดนัดชำระหนี้ถึงสองครั้งของ IFEC ทำให้ก่อให้เกิดครั้งที่ 3-4 ตามมาได้

"กรณี IFEC จะกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยตรง ทำให้ผู้ออกตั๋วบี/อีรายใหม่และผู้ลงทุนเองอาจต้องหยุดชะงัก กระทบเป็นโดมิโนต่อการจัดตั้งกองทุน เรียกได้ว่าเป็นความเสี่ยงทางการเงินทั้งระบบ"

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าปัจจุบันภาพรวมการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อียังไม่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังค่อนข้างดี และบริษัทส่วนใหญ่ก็ยังมีกระแสเงินในการชำระหนี้ได้ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัญหาทางเทคนิค แต่ก็ยังเป็นห่วงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ซึ่งทุกอย่างถือเป็นบทเรียน

นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากข้อมูลบริษัทเอกชนที่ออกตั๋วบี/อีและหุ้นกู้ไร้เครดิตเรตติ้ง (Unrated) ทั้งระบบ มียอดคงค้างอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 7% ของยอดคงค้างในตราสารหนี้รวมทั้งหมดอยู่ที่ 3.58 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3/59) ซึ่งปัญหาที่ตั๋วบี/อีผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นของ 2 บริษัทที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้มีการติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และทาง บลจ.ที่เกิดปัญหาได้รายงานมาแล้ว

ขณะเดียวกัน ก.ล.ต.ได้ดูข้อมูลภาพรวมทั้งระบบที่ผู้ลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ไร้เครดิตเรตติ้ง พบว่ามีกลุ่มผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (AI) ที่เป็นนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ระดับไฮเน็ตเวิร์ท (ระดับ 50 ล้านบาทขึ้นไป) เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ไร้เครดิตเรตติ้งประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาทซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกอง AI ในประเทศที่มีอยู่ 1.08 แสนล้านบาท

"กอง AI ที่เข้าไปลงทุนในตัวที่เสี่ยงสูงมีมูลค่า NAV อยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท หรือสัดส่วน 14% ของกอง AI ทั้งระบบ ถ้าดูตั๋วบี/อีของ KC และ IFEC ที่ผิดนัดชำระหนี้ไม่กี่ร้อยล้านบาท ถือว่าสัดส่วนน้อยมากเทียบกับทั้งระบบ อีกทั้งกลุ่มผู้ลงทุนตั๋วบี/อีพวกนี้จะเป็นกลุ่มที่ถือว่ามีความรู้และรับความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายได้อยู่แล้ว จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก.ล.ต.อยากออกมาทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ลงทุน AI ว่า จะลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนี้ด้วย ตามผลตอบแทนสูงที่อยากได้รับกัน ในภาวะทุกคนล่าผลตอบแทนสูง ซึ่งปัญหานี้ก็ได้มีการพูดคุยประชุมกับผู้ว่าการ ธปท. (วิรไท) เป็นระยะ ๆ" นายรพีกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายรพีกล่าวว่า จากมูลค่าการลงทุนในตราสารหนี้ที่เสี่ยงสูงอยู่ 1.53 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่ำมากเพียง 2.7% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งระบบที่อยู่ 4 ล้านล้านบาท จึงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนระดับรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในด้านการกำกับดูแล บลจ.ที่เป็นตัวกลางของการลงทุนตั๋วบี/อี ระหว่างผู้ออกที่เป็นบริษัทเอกชนระดมทุนกับผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้า AI ทาง ก.ล.ต.ได้มีการตรวจสอบกระบวนการทำงานทั้งการคัดสรรสินค้าที่เสนอเข้าไปลงทุน กลุ่มลูกค้าที่ลงทุนมีคุณสมบัติตามกำหนดในกลุ่ม AI หรือไม่ และระดับความรวยของผู้ลงทุน และปีนี้ ก.ล.ต.จะให้ความสำคัญกับการเข้าไปตรวจสอบกลุ่ม บลจ.มากยิ่งขึ้น

ส่วนปัญหาที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ของ KC นายรพีกล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นสัญญาณว่ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีความเสี่ยง แต่เป็นปัญหาเฉพาะบริษัทมากกว่า ซึ่งผู้ลงทุนจะต้องเข้าไปดูข้อมูลฐานะการเงินทั้งหนี้สินและสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งเรื่องนี้ตัวกลางอย่าง บลจ.ควรจะมีการพิจารณาความเสี่ยงให้ชัดเจนก่อนนำมาให้ลูกค้าลงทุน

นายรพีกล่าวว่า ปีนี้จะเห็นปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ไร้เครดิตมากขึ้นหรือไม่ คงคาดการณ์ได้ยาก แต่ต้องยอมรับว่าแนวโน้มการออกตราสารหนี้เหล่านี้รวมถึงตั๋วบี/อียังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะมีทั้งผู้ซื้อที่ล่าผลตอบแทนสูง และผู้ขายก็พร้อมจะขายโดยให้ดอกเบี้ยสูงด้วย ดังนั้นเมื่อตลาดตั๋วบี/อีจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะมีโอกาสเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูงตามมา แต่สิ่งที่จะเห็นคือ หากบริษัทใดที่เกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้ หรือมีความเสี่ยงที่สูง ก็จะต้องทำให้การออกระดมทุนขายครั้งต่อไปจะต้องให้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จนกลายเป็นต้นทุนการเงินแพงเกินไป และอาจไม่มีคนกล้าซื้อได้

ชี้เทรนด์ออกตั๋วบี/อีสูงต่อเนื่อง

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรณีตั๋วบี/อีผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจะช่วยเตือนใจให้ผู้ลงทุนตั๋วบี/อีต้องเพิ่มความระมัดระวังหรือคัดกรองการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาคนที่ซื้อจะดูแต่ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยสูง ๆ เป็นหลัก จึงมองข้ามความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นสูงตามมา

ทั้งนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการเสนอขายตั๋วบี/อีและหุ้นกู้เอกชนมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งคิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นสัดส่วนของตั๋วบี/อีประมาณ 60% หรือ 2 ใน 3 ของมูลค่าระดมทุนรวม อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปฏิเสธเสนอขายตั๋วบี/อีของบางบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งบริษัทมีหลายปัจจัยในการพิจารณา อาทิ กระแสเงินสดที่ไม่ชัดเจน โมเดลธุรกิจ วัตถุประสงค์การใช้เงิน ผู้บริหารไม่น่าเชื่อถือ หลักประกันไม่เพียงพอ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่มีความเสี่ยงไม่ตรงตามกำหนด

นายสุทธิพัฒน์ เสรีรัตน์ รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธนาคารไม่ได้โฟกัสออกตั๋วบี/อีมากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นออกหุ้นกู้อายุเกิน 1 ปีมากกว่า ทำให้ปริมาณการออกตั๋วบี/อีในปี 2559 มีมูลค่าประมาณ 100-200 ล้านบาทเท่านั้น

หลังจากเกิดผิดนัดชำระเคสบี/อี แบงก์ก็ต้องระวังและพิจารณารัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะพวกเรตติ้งไม่ดีจะกระทบเยอะ เพราะนักลงทุนจะเลือกมากขึ้น


losomon