เมื่อ “เจ้าสัวธนินท์” ชวนนักลงทุนจีน
ลงทุนในอีอีซี หุ้นนิคมฯจะได้ประโยชน์แค่ไหน

.
ภาพการเงินลงทุนของผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยได้ส่งสัญญาณการเข้ามาตั้งฐานการผลิตและย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายการสนับสนุนและผลักดันของภาครัฐที่ออกมาชักชวนนักลงทุนต่างชาติให้นำเม็ดเงินเข้ามาลงทุน
.
รวมไปถึงภาคเอกชน ที่ “เจ้าสัวธนินท์” ร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก พร้อมกับได้ชักชวนนักธุรกิจจีนโพ้นทะเลขยายโอกาสการลงทุน พร้อมกับชูประเด็นการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาทำค้ากับประเทศไทยในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นส่งออก,นำเข้า รวมทั้งเข้ามาลงทุน
.
โดยเจ้าสัวธนินท์ ยังได้กล่าวเน้นย้ำ เชิญชวนให้นักลงทุนชาวจีนทั่วโลก พิจารณามาลงทุนที่ประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รู้จักกันในชื่อ อีอีซี ซึ่งเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ลงทุนที่ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก
.
แน่นอนว่ากลุ่มธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์เป็นอันดับต้นๆก็คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่ถือเป็นประตูบานแรกของผู้ประกอบการต่างชาติ ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็ถือโอกาสที่จะหยิบมุมมองการลงทุนและแนวโน้มของธุรกิจดังกล่าวมานำเสนอให้แก่ผู้อ่านกัน
.
โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า คงมุมมองบวกกับแนวโน้มกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ หลังจากที่ประเทศไทยและเวียดนามมุ่งดําเนินนโยบาย net zero ภายในปี 2593 จะช่วยกระตุ้นให้เกิดวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่
.
ประกอบไปด้วย การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่คาร์บอนตํ่า, ยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมสนับสนุน, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, อุตสาหกรรมรีไซเคิล และพลังงานหมุนเวียน ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำและอุปสงค์ที่ดิน นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
.
สำหรับแนวโน้มยอดขายที่ดิน ยังคงประมาณการยอดขายที่ดินรวมปีนี้ 5,200 ไร่ และคาดยอดขาย 2,855 ไร่ ในครึ่งปีแรกปี 66 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า 198% จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของการลงทุนใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมสนับสนุน, อิเล็กทรอนิกส์, ดาต้าเซ็นเตอร์และแผงโซล่า
.
รวมไปถึงนักลงทุนจีนย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย/ เวียดนาม เนื่องจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์, สงครามการค้าและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นของประเทศจีนในครึ่งปีแรกปี 6 มีนักลงทุนชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 4,000 คน AMATA และ WHA จะเป็นบริษัทที่ได้อานิสงส์เพราะมีธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม
.
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างมากจากการดำเนินนโยบาย Chinese+1 ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ และ ชิ้นส่วน, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องจักร, อุปกรณ์การแพทย์ และ โลจิสติกส์ โดยมีนักลงทุนกว่า 500 รายเข้าร่วมงาน “Thailand’s New Investment Promotion Measures: NEW Economy, NEW Opportunities” และมีนักลงทุนกว่า 60 รายจาก China Printed Circuit Association และกว่า 50 ราย จากเซี่ยงไฮ้ที่เดินทางมาเยี่ยมชมประเทศไทยในเดือนเม.ย.-พ.ค. นอกจากนี้คาดว่าจะมีนักลงทุนกว่า 4,000 รายเข้าร่วมงาน “World Chinese Entrepreneurs Convention(WCEC)”
.
สำหรับ AMATA บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 25.80 บาท โดยมองว่าผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2566 จากอุปสงค์ของที่ดินทั้งในไทยและเวียดนามจะแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยสำคัญจากผู้ประกอบการในจีนที่ทยอยย้ายฐานผลิต
.
พร้อมกันนี้คาดกำไรปี 2566 ที่ 1.89 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 60.7% จากยอดขายและโอนที่ดินมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี โดยคาดยอดขายที่ดินในปีนี้ที่ 1.5 พันไร่ ซึ่งถือว่าเป็นประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมคิดเป็น 66.7% ของเป้าบริษัท โดยมียังอัพไซด์ในการปรับสมมติฐานขึ้นหากอุปสงค์ที่ดินช่วงครึ่งปีแรกปี 66 แข็งแกร่ง
.
ด้าน WHA บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 4.80 บาท พร้อมกับคาดกำไรในปี 2566 ที่ 3.96 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 7.6% รับผลบวกจากการย้ายและการตั้งฐานการผลิตนอกประเทศจีน ส่งผลให้อุปสงค์ที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
.
นอกจากนี้ธุรกิจสาธารณูปโภคในปีนี้จะเติบโตโดดเด่น จากการปรับขึ้นราคาขายน้ำ อีกทั้งปริมาณความต้องการนำที่กลับสู่ระดับปกติและลูกค้ารายใหม่ที่มีต้องใช้น้ำปริมาณมากในกระบวนการผลิต ส่วนปัจจัยหนุนเพิ่มเติม ได้แก่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หนุนการเคลื่อนย้ายและกระจายฐานการผลิตมายังไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง