เมื่อวานนี้ 20 พ.ค. มีรายงานจากสำนักข่าว Bloomberg ออกมาวิเคราะห์ถึงประเทศไทยว่า หลังจากจบวิกฤติโควิด19 มั่นใจว่าประเทศไทยจะได้รับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวเป็นประเทศแรกๆ เนื่องจากต่างชาติมีมุมมองด้านบวกต่อมาตรการการควบคุมการระบาดในไทย และมีความเชื่อมั่นในวิธีของรัฐบาลไทยในการค่อยๆคลายมาตรการการควบคุมอย่างช้าๆที่จะทำให้เศรษฐกิจค่อยๆขยับตัว นั่นทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุน ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งแกร่งตามมา
“Thailand has done well to contain the coronavirus outbreak, with the country gradually reopening businesses and easing restrictions,” says Chang Wei Liang, a macro strategist at DBS Bank Ltd. in Singapore. “This has given investors confidence that tourism could recover over time, in turn supporting the baht.”
ตอกย้ำด้วยความมั่นใจของต่างชาติที่มีต่อพฤติกรรมและนิสัยของคนไทยจากวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ ด้วยผลสำรวจของบริษัท YouGov จากประเทศอังกฤษ ที่เผยพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนใน 6 ประเทศอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12,999 ราย พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการใส่หน้ากากอนามัยและการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์สูงที่สุดในอาเซียน
ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของเสียงสะท้อน ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองประเทศไทยอยู่ขณะนี้ เรามีจุดแข็งที่ไม่แพ้ใครด้วยระบบสาธารณะสุขที่ยอดเยี่ยม รวมถึงพฤติกรรมความมีระเบียบเคร่งครัดในการช่วยกันควบคุมโรคระบาด (อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะมีมาก่อน) หากรัฐบาลสามารถนำจุดแข็งเหล่านี้มาผสานกับจุดขายด้านการท่องเที่ยว ก็น่าจะดีไม่น้อย ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับที่ทาง “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโสเครือ ซี.พี ได้เคยออกมาเสนอแนะรัฐบาลในฐานะภาคเอกชนของไทย
โดยประเด็นเรื่องการฟื้นเศรษฐกิจไทยด้วยการท่องเที่ยวในทัศนะของเจ้าสัวนั้น มองว่าการสร้างจุดขายด้านการท่องเที่ยวผนวกกับระบบสาธารณะสุขที่ดีเยี่ยมของไทย จะเป็นช่องทางที่สามารถเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนท์ให้มาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มาพักผ่อนในประเทศไทยและสร้างรายได้ให้ภาคบริการท่องเที่ยวไทยได้ในช่วงวิกฤติเช่นนี้
ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกกล่าวย้ำอีกครั้ง ในงานเสวนาออนไลน์ “จุฬาฯ ธุรกิจพิชิต Covid-19” ในหัวข้อ “Top CEO Vision for Business Crisis” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “CBS Dean’s Distinguished Lecture Series: The Master Class” จัดโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยช่วงค่ำของวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 โดยเจ้าสัวธนินท์กล่าวว่า
"เรื่องความปลอดภัยต่อไป ประเทศไทยน่าจะสร้างหมอเก่ง ๆ เพราะหมอคนไทยเก่งอยู่แล้ว และมีชื่อเสียงในโลก ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลของรัฐ เช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ รามา ศิริราชก็สร้างชื่อเสียง สร้างหมอเก่ง ๆ แต่ถ้าหลังจากโควิด-19 แล้ว ถ้าเราจะขยายเรื่องท่องเที่ยวบวกความปลอดภัย หมอกับพยาบาลเรายังขาดอีกมหาศาล อาชีพหมอกับพยาบาลจะต้องสร้างคนอีกเยอะ ก็ฝากว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลนมาก และก็จะมีรายได้สูงด้วย ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบ และมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องนี้อยู่แล้ว มีฐานที่ดีอยู่ในเรื่องนี้อยู่แล้ว
มีคนร่ำรวยในโลกนี้ก็ยังมารักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลกรุงเทพ หรือโรงพยาบาลของรัฐก็ไม่ได้แพ้โรงพยาบาลเอกชน และก็สร้างหมอ สร้างนางพยาบาลเก่ง ๆ สนับสนุนโรงพยาบาลเอกชน อาชีพอันมีค่านี้ ความต้องการจะมากมายในเรื่องหมอกับนางพยาบาล ต่อไปก็ไปถึงเรื่องรีเสิร์ช เรื่องยา เรื่องอะไรต่อไปได้อีกเยอะ ถ้าเรามีหมอเก่ง ๆ เรามีคนมาท่องเที่ยวมาเมืองไทย เราจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลกก็ได้ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจะตามมาอีกเยอะ เกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยว ทัวร์ เรื่องไกด์ เรื่องการค้าขาย ร้านอาหาร ภัตตาคารที่ต้องมีความปลอดภัย และอร่อยด้วย ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลง และธุรกิจอันนี้จะยิ่งใหญ่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน สิ่งที่รัฐต้องทำในทันที ณ ตอนนี้ คือการเตรียมวางแผนรับมือหลังวิกฤติ เมื่อการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ต้องมีมาตรการที่ช่วยฟื้นฟูกลุ่มธุรกิจภาคบริการให้กลับมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเงินกู้ให้ภาคธุรกิจบริการ ผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ ให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นฟูและแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนจับมือก้าวไปพร้อมกัน เราจึงจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างมั่นคง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า