หุ้นโรงไฟฟ้า อัพไซด์จำกัด BGRIM เด่นสุด! ผลงานโตต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นไทยยังโดนกดดันจากปัจจัยลบทั้งในและภายนอกประเทศ ทำให้ต้องหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีความเสี่ยงจะถูกเทขายจากนักลงทุนต่างประเทศ แต่ที่ผ่านมามีหุ้นหลายกลุ่มที่ราคาปรับลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ผลตอบแทนกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หนึ่งในนั้น คือ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่บางตัวราคาหุ้นตั้งแต่ต้นไปจนถึงปัจจุบัน ( 1 ม.ค. – 5 ต.ค. 63) ปรับลดลงไปกว่า 40% แล้ว
แต่ราคาที่ปรับลงไปจะเป็นจังหวะเข้าซื้อหรือไม่? และมีหุ้นอะไรในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจบ้าง? Wealthy Thai เอามุมมองของนักวิเคราะห์มาฝากกัน
หุ้นโรงไฟฟ้าเก็งกำไรได้ แต่ไม่เหมาะถือยาว
คุณเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า หุ้น defensive อย่างหุ้นโรงไฟฟ้าขณะนี้ยังไม่น่าสนใจ แต่นักลงทุนสามารถเข้าไปเก็งกำไรระยะสั้นได้ จากราคาที่ปรับลงค่อนข้างมาก แต่อัพไซด์จำกัด ส่วนการถือระยะยาวแนะนำให้มองประมาณ 5-10 ปี ขึ้นไป ถือเป็นลักษณะของตราสารหนี้ แต่ถ้าถือในระยะ 1-2 ปีนี้ ผมไม่แนะนำ อย่างไรก็ตาม หุ้นโรงไฟฟ้าที่มีแนวโน้มจะเติบโตสูง ราคาหุ้นอาจปรับขึ้นได้ แต่อัพไซด์ก็มีจำกัดเช่นกัน
BGRIM เด่นสุดในกลุ่มฯ
ด้านคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ให้มุมมองในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน คือ แม้ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าจะปรับลงมาค่อนข้างมาก แต่หุ้นที่น่าสนใจมีบางตัวเท่านั้น อย่าง BGRIM น่าสนใจเข้าซื้อ เพราะไตรมาส 3/63 จะมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าประมาณ 3-4 โครงการ ทำให้ภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตโดดเด่น และ EGCO ที่ราคาหุ้นปรับลงค่อนข้างต่ำ เริ่มมีอัพไซด์ น่าสนใจเข้าซื้อเช่นกัน
“ภาพรวมกำไรครึ่งปีหลังของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังเติบโตได้ แต่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับลงมามองว่าเป็นการลดระดับความแพงเท่านั้น สำหรับหุ้นที่มองว่าราคาปรับลงมาอยู่ในระดับน่าซื้อแล้ว คือ EGCO ส่วนหุ้นที่ยังเห็นการเติบโตและแนวโน้มกำไรโดดเด่นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/63 คือ BGRIM ด้านหุ้นที่ไม่น่าสนใจ คือ RATCH กับ BPP”
BGRIM ปี 68 กำลังผลิตไฟฟ้าแตะ 7,200 เมกะวัตต์
จากความเห็นของนักวิเคราะห์ข้างต้นจะเห็นว่า ระยะสั้นหุ้นโรงไฟฟ้ายังสามารถเข้าลงทุนได้ โดยเน้นลักษณะของการเก็งกำไรมากกว่าถือระยะยาว ที่สำคัญให้เน้นหุ้นที่มีการเติบโตสูง เช่น BGRIM ซึ่งปีนี้ผู้บริหารก็คาดว่าบริษัทยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGRIM กล่าวว่า เชื่อว่าผลการดำเนินงานปี 2563 ยังเติบโตในกรอบ 10-15% จากการขยายกำลังการผลิตและขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโปรแกรมการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและการบริหารค่าใช้จ่ายด้วย
นอกจากนี้ ยังปรับเพิ่มเป้าหมายในปี 2568 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 7,200 เมกะวัตต์ จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 5,000 เมกะวัตต์ เนื่องจากมีโอกาสจะพัฒนาโครงการใหม่มากขึ้น โดยโครงการที่มีโอกาสลงทุน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เกาหลี กำลังการผลิตราว 130-150 เมกะวัตต์ คาดว่าแผนการลงทุนจะชัดเจนภายในไตรมาส 4/63, โรงไฟฟ้าก๊าซ LNG ที่เวียดนาม กำลังการผลิต 2,700 เมกะวัตต์ รวมถึงการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า SPP ที่มาเลเซีย กำลังการผลิต 250 เมกะวัตต์ ด้วย
อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนดังกล่าวคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 180,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยืนยันว่าจะไม่มีการเพิ่มทุน แต่แหล่งของเงินทุนจะมาจากการสินเชื่อโครงการหรือโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์เป็นหลัก ส่วนเงินทุนจะใช้เพียง 25% เท่านั้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก