ส่องแนวโน้มผลประกอบการ
บริษัทโรงไฟฟ้ารายใหญ่ GULF- EA
เมื่อนักวิเคราะห์ประเมินกำไรจะโตเด่น

.
เข้าสู่ช่วงฤดูของการประกาศงบกันแล้ว Wealthy Thai จึงได้รวบรวมการประเมินจากนักวิเคราะห์เกี่ยวกับ 2 บริษัทโรงไฟฟ้าชั้นนำของไทย อย่าง GULF และ EV ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าทั้ง 2 บริษัทจะรายงานกำไรออกมาอย่างโดดเด่น พร้อมให้คำแนะนำ “ซื้อ” อีกด้วย
.
โดย GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติไตรมาส 1/66 ที่ 3,691 ล้านบาท เติบโต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 3%จากไตรมาสก่อน ดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้าที่คาดลดลงจากไตรมาสก่อน และทำ New High ได้อีกครั้ง
.
ทั้งนี้การเติบโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจาก การรับรู้รายได้จากการ COD หน่วยที่ 4 ของโรงไฟฟ้า GSRC ขนาด 662.5MW ในไตรมาส 4/65 และ การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการลมที่ซื้อจาก GUNKUL (ผ่าน GGC)
.
ขณะที่เทียบไตรมาสก่อน คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้เล็กน้อยแม้รับรู้ผลกระทบจากการลดสัดส่วนในโครงการ BKR2 ลงครึ่งหนึ่งแบบเต็มไตรมาสและมีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ Jackson (ผลจากราคาก๊าซที่ปรับตัวลงเร็ว) เพราะ การปรับขึ้นค่า Ft งวด ม.ค. - เม.ย. 2566 ของ กกพ. จำนวน 61.49 สตางค์/หน่วย ขณะที่ราคาก๊าซทรงตัวจากไตรมาสก่อนส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กับกลุ่ม IU ฟื้นตัว
.
รวมทั้งการเริ่มรับรู้รายได้จาก THCOM (ลงทุนเสร็จสิ้นในช่วงปลายไตรมาส 4/65) และส่วนแบ่งกำไรจาก GGC ที่เติบโตราว 10%จากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล หากกำไรปกติออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติไตรมาส 1/66 จะคิดเป็นสัดส่วน 21% ของกำไรทั้งปี
.
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/66 คาดกำไรปกติจะยัง New High ได้ต่อเนื่องจาก ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกับค่า Ft จะสามารถชดเชยผลกระทบจากค่า Ft ที่ลดลงได้ รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการ COD หน่วยที่ 1 ของโรงไฟฟ้า GPD ขนาด 662.5MW แบบเต็มไตรมาส และ การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Jacksonแบบเต็มไตรมาส (ราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯที่มีเสถียรภาพมากขึ้นทำให้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าดังกล่าวพลิกเป็นกำไร) ให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 59.50บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”
.
[ EA โรงไฟฟ้า-รถไฟฟ้าหนุนเด่น ]
ด้าน EA นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกันประเมินว่า กำไรปกติไตรมาส 1/66 คาดที่ 1,693 ล้านบาท เติบโตเด่น 32%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 18% จากไตรมาสก่อน โดยการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แรงหนุนจากคาดปริมาณการส่งมอบรถ EV ทุกประเภทรวม 700 คัน ในไตรมาส 1/66 โดยคาดเป็น EV Busราว 500 คัน (เทียบกับไตรมาส 1/65 ที่ไม่มีการส่งมอบรถ EV)
.
รวมทั้งรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นค่า Ft งวด ม.ค. - เม.ย. 2566 และความเร็วลมที่สูงขึ้น ประกอบกับปริมาณขายของธุรกิจไบโอดีเซลที่ฟื้นตัวหลังมีการปรับสัดส่วนผสมไบโอดีเซลขึ้นเป็น B7 ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/65 (จากเดิมB5)
.
ขณะที่เทียบกับไตรมาสก่อน คาดกำไรปกติลดลงจากปริมาณการส่งมอบ EV รวมลดลง 23%จากไตรมาสก่อน เนื่องจากฐานที่สูงเพราะไม่มีการเร่งส่งมอบรถเหมือนในช่วงไตรมาส 4/65 รวมทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล และ ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น 3%จากไตรมาสก่อน ดังนั้นหากกำไรปกติออกมาใกล้เคียง
คาด กำไรปกติไตรมาส 1/66 จะคิดเป็นสัดส่วน 25% ของกำไรทั้งปี
.
ขณะที่ไตรมาส 2/66 เบื้องต้นคาดกำไรปกติที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจาก คาดจะยังสามารถส่งมอบรถ EV ได้ในระดับ 700 คัน/ไตรมาส อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการผลิตรถ EV ปริมาณมากได้อย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) และต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตรถ EV (เหล็กและอะลูมิเนียม) ที่เริ่มปรับตัวลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (ผลจากความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะ Recession ของภูมิภาคต่างๆ)
.
โดยทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจEV มีแนวโน้มขยายตัวจากไตรมาสก่อน และคาดรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเข้าสู่ช่วง High Season ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ โดยให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 80 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะ12 เดือนขึ้นไป