รายย่อยไม่กลัวไวรัสแห่ช้อนหุ้น 2.8 หมื่นล้าน
โบรกฯ เผยนักลงทุนรายย่อยสบช่องราคาหุ้นร่วงแรงจากความกังวลไวรัสโคโรนาระบาด เข้าซื้อเก็งกำไร กว่า 28,130.73 ล้านบาท ด้านสถาบันขายลดเสี่ยง หาหุ้นดีไม่ได้ เลือกถือเงินสด
สถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนาที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน ทำให้ตั้งแต่วันที่ 20-30 มกราคม 2563 ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลง 65.12 จุดหรือ 4.09% จากวันที่ 20 มกราคมปิดที่ 1,589.11 จุด และวันที่ 30 มกราคมปิดที่ 1,523.99 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมพบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิมากที่สุดที่ 15,851.57 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิมากที่สุด 28,130.73 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)ฯ เปิดเผยว่า ตั้งแต่การเกิดโรคระบาดไวรัสโคโรนา ทำให้ตลาดหุ้นปรับลดลงแรง แต่มีแรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อยเข้ามามากสาเหตุจากการ ที่ราคาหุ้นหลายตัวปรับลดลงถูกมากจึงเป็นจังหวะในการเข้าซื้อของถูกและพื้นฐานดีเก็บไว้ในพอร์ต ขณะที่แรงขายในกลุ่มสถาบันมองว่า เป็นการเพิ่มสัดส่วนเงินสดในมือเพื่อบริหารผลตอบแทน เนื่องจากอยู่ในภาวะหาหุ้นที่จะลงทุนให้มีนํ้าหนักสูงกว่าตลาดค่อนข้างยากจึงเกิดการขายเพื่อเพิ่มเงินสดในมือก่อน
อย่างไรก็ตาม มองว่า เงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติช่วงนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะเข้าหรือออกจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องต้องติดตาม โดยเฉพาะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากการที่จะมีนโยบายออกมาทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น รวมถึงแนวโน้มตลาดหุ้น
สหรัฐฯ ดีกว่าตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) ทำให้เงินทุนไหลกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าที่จะไหลเข้า Emerging market
ขณะที่ปัญหาโรคระบาดไวรัสโคโรนา คาดว่า จะมีระยะเวลาที่สั้นกว่าการเกิดโรคซาร์ส แต่ผลกระทบในครั้งนี้จะรุนแรงกว่าในอดีต เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอและภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวแปรที่สำคัญจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวถึง 26% ซึ่งในอดีตที่เกิดโรคซาร์ส แม้จะใช้เวลานาน แต่ผลกระทบในทางลบมีน้อยกว่า เพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจมีความสมดุล แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปประมาณ 3 เดือน แต่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลา 6 เดือน
“การระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งนี้ เรียกว่าเป็นการเจ็บแรงแต่จบเร็ว คือมีระยะเวลาที่สั้นกว่าโรคซาร์ส แต่เศรษฐกิจจะลบรุนแรงกว่า เพราะครั้งนั้นเศรษฐกิจมีความสมดุล การส่งออก การท่องเที่ยว มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่ปัจจุบันไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวถึง 26% หรือ 1 ใน 4 ของทั้งหมด ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงมาก”
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์ เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ กล่าวว่า การเข้าซื้อของนักลงทุนรายย่อยช่วงนี้เป็นการเก็งกำไรระยะสั้น จากหุ้นบางตัวที่ราคาลดลง จึงมองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน ส่วนนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติจะมองเป็นระยะยาว หากไม่มีความชัดเจนว่า จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้ดีขึ้น หรือจะมีการแก้ปัญหาให้ถูกทางหรือไม่ จึงเลือกที่จะขายเพื่อลดพอร์ตก่อน
นอกจากนั้น การขายของนักลงทุนสถาบันมีนัยสำคัญคือ การขายในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่ครบกำหนดระยะเวลาแล้ว แต่ยังไม่ได้ขาย โดยช่วงนี้ตลาดหุ้นมีความผันผวน จึงเกิดความกังวลและมีแรงขายออกมา ส่วนเงินทุนของต่างชาติ ยังให้นํ้าหนักกับการกลับเข้ามาซื้อ เพราะหลายปีที่ผ่านมามีการขายออกมามาก หากในปีนี้การเมืองมีความชัดเจน การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เดินหน้าได้ และรัฐบาลผลักดันเศรษฐกิจให้โตได้ 2.5-3% ก็ยังมีความหวังว่าต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิอีกครั้ง
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก