Cr. Money Channel
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนรอบเดือนสิงหาคม ฟื้นตัวสูงสุดรอบ 4 เดือน พร้อมคาดดัชนีหุ้นไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดรอบปีไปแล้ว หลังช่วงมิ.ย.ปรับฐานลงไปทดสอบ 1,595 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) บอกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดี หลังจากประเมินว่าดัชนีฯได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดรอบนี้ไปแล้วจากที่เคยปรับฐานลงไปทดสอบ 1,595 จุดเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยสะท้อนจากการพลิกกลับของกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เริ่มไหลเข้าในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ (Emerging markets)
ขณะที่ด้านของ Valuation ของหุ้นบิ๊กแคปในไทยหลายบริษัทเริ่มมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจเข้าลงทุน
ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติ จะมีโอกาสไหลเข้ามาต่อเนื่องหรือไม่นั้น นายไพบูลย์ ยอมรับว่า ยังเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก เพราะการปรับเปลี่ยนการลงทุนในช่วงนี้ เป็นไปตามปัจจัยเศรษฐกิจภาพใหญ่ของกลุ่ม Emerging markets ยังไม่ได้เจาะจงเลือกลงทุนเป็นรายประเทศ เนื่องจากความกังวลปัจจัยลบสงครามการค้า ที่อาจจะลุกลามขึ้นเป็นปัญหาค่าเงินได้
แต่สุดท้ายแล้วเชื่อว่าทางฝั่งสหรัฐฯ แม้จะปรับขึ้นภาษีการค้า แต่อาจจะเป็นแค่ภาวะชั่วคราวเท่านั้น หรือมีการตั้งโต๊ะเจรจากับฝั่งจีนในการหาข้อสรุป ไม่ให้เกิดผลกระทบด้านความเสี่ยงต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลัง ยังคงให้น้ำหนักปัจจัยบวกในประเทศที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ กระตุ้นบรรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น หนุนกำลังซื้อผู้บริโภคฐานราก เช่นเดียวกับแผนการลงทุนเมกะโปรเจ็กภาครัฐ ซึ่งหากเปิดประมูลตามแผนก่อนเกิดการเลือกตั้งรอบใหม่ ก็น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในรอบเดือน ส.ค. พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้า แม้ว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” หรือ Neutral แต่เพิ่มขึ้น 6.69% อยู่ที่ระดับ 108.11 ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือน ตามความเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทย ยอดขายสุทธิต่างประเทศมีมูลค่าลดลง และเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ส่วนหลักทรัพย์ที่กลุ่มนักลงทุนสนใจมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ,กลุ่มค้าปลีก,และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างฯ ,ขณะที่กลุ่มที่นักลงทุนไม่ให้ความสนใจมากที่สุดคือ กลุ่มเหล็ก และกลุ่มกระดาษ วัสดุการพิมพ์ เป็นต้น