เนื่องจาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นนักลงทุนแบบ " เน้นคุณค่า " และ " เน้นการเติบโต " ตามแบบฉบับของ Benjamin Graham, Warren Buffett และ Philip A. Fisher ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองไทย แต่ผู้โพสต์ไม่เคยกล่าวอ้างอิงถึงดร.นิเวศน์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่เข้ามาโพสต์ใน Stock2morrow เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ปี พ.ศ 2560 มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องมาจากระยะเวลาการลงทุนของดร.นิเวศน์นั้น ยังสั้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับตํานานระดับโลกอย่าง Benjamin Graham, Warren Buffett และ Philip A. Fisher
เนื่องจากหลักการลงทุนของผู้โพสต์ที่นํามาใช้ในการก่อตั้ง " กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) " นั้น เป็นแบบฉบับของจิม โรเจอร์ ที่เน้นการลงทุนใน " สิ่งที่ตัวเองมีความรู้ดี ", " แบบมุ่งเน้น " และ " การคาดการณ์ " และเริ่มนับผลตอบแทนของการลงทุนตั้งแต่ปี พ.ศ 2561 เป็นต้นไปจนถึงปี พ.ศ 2590 ซึ่งจะมีระยะเวลาการลงทุน 30 ปี
เพื่อเป็นการอ้างอิงในอนาคต ผู้โพสต์จึงจะนําผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ และผลตอบแทนของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) มาเปรียบเทียบเป็นแบบปีต่อปี
ทั้งนี้ ผู้โพสต์ขอเรียนชี้แจงเป็นการล่วงหน้าว่า " ผู้โพสต์ไม่มีวัตถุประสงค์อย่างอื่น นอกจากเป็นการเปรียบเทียบและนํามาอ้างอิงเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการลงทุนทั้งสองแบบเท่านั้น " ดังนี้ คือ :
ผลตอบแทนของพอร์ตของดร.นิเวศน์ ประจําปี พ.ศ 2561 = -9.90% ( โดยมีที่มาจากหนังสือ ฝ่าวิกฤติหุ้น ด้วย VI พันธ์แท้ โดยดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งเป็นหนังสือ Pocket Book เล่มล่าสุดของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร )
ผลตอบแทนของ " กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) "
ประจําปี พ.ศ 2561 = +19.30%
ความแตกต่าง = ( -9.90 ) - 19.30 % = -29.20%
หมายเหตุ : 1) หุ้นตัวหลักของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร น่าจะเป็น " CPALL " ที่ปรับตัวขึ้นมาหลายปีดีดักจนน่าใกล้ถึงยอดดอยเต็มทีแล้วความเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ โดยปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 90 บาท เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ปี พ.ศ 2561 ส่วนหุ้นตัวหลักของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) คือ " STEC " ซึ่งพึ่งปรับตัวขึ้นมาจากเหวนรกตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์เช่นเดียวกันที่ 17.70 บาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี พ.ศ 2561
2) หรือถ้าจะมีการเปรียบเทียบเฉพาะในปี พ.ศ 2562 เมื่อ CPALL ปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ 68.75 บาท แล้วปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 74.75 บาท เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 หรือปรับตัวขึ้นมา +8.73% ส่วน STEC ปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ 20.40 บาท แล้วปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 22.70 บาท เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 หรือปรับตัวขึ้นมา +11.27% และ Long S50M19 เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 ที่ 1,082.4 จุด มาปิดที่ 1,083.3 จุด หรือกําไร = ( 1,083.3 - 1,082.4 ) x 200 / 11,058 x 100 = 1.63% แล้วเอาไปรวมกับ +11.27% + 1.63% = +12.90%
3) โปรดติดตามการ Long Set 50 Index Futures ในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com