ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์อนาคต “หุ้นกลุ่มโรงกลั่น”

โดย พายุ
เผยแพร่ :
402 views

วิเคราะห์อนาคต “หุ้นกลุ่มโรงกลั่น” เมื่อผลงานกำลังเข้าสู่โหมดฟื้นตัว?

 

หุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันยอดนิยมในตลาดหุ้นไทยทั้ง 6 บริษัท ในช่วงไตรมาส 2/66 รายงานผลงานประกอบการออกมาไม่โดดเด่น ดังนั้นจึงเกิดคำว่าว่า “แนวโน้มธุรกิจ” หุ้นกลุ่มนี้จะยังมีความน่าสนใจหรือไม่ Wealthy Thai มีคำตอบให้แล้ว


TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า คาดกำไรไตรมาส 2/66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยผลประกอบการไตรมาส 3/66 จะฟื้นตัวได้ดีจากค่าการกลั่น และการบันทึกกำไรสต็อกน้ำมัน และมองข้ามไปช่วงไตรมาส 4/66 ค่าการกลั่นมีปัจจัยบวกจากโอกาสเกิด Supply Disruption ของฤดูมรสุมบริเวณอ่าวเม็กซิโกในสหรัฐฯ และอุปสงค์น้ำมัน Middle Distillate ที่เพิ่มขึ้นก่อนการเข้าสู่ฤดูหนาว


ดังนั้นจึงมองว่าแนวโน้มครึ่งหลังของปี 66 จะเร่งตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 59% จากปีก่อน ส่วนระยะยาวอุตสาหกรรมการกลั่นมีปัจจัยบวกน่าจับตา โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังปี 67 เป็นต้นไปเนื่องจากจะไม่มีอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพราะอุตสาหกรรมมุ่งสู่การลงทุนพลังงานสะอาด


ขณะที่อุปสงค์ยังขยายตัวตามเศรษฐกิจ ทำให้ระหว่าง Energy Transition อาจเกิดช่วง Golden Era ของอุตสาหกรรมการกลั่นได้ แนะ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 60.00 บาท จากมูลค่าหุ้นไม่แพง


PTTGC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า ไตรมาส 3/66 แม้ธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัวจากไตรมาส 2/66 อย่างมีนัยสำคัญ แต่คาดผลประกอบการจะสามารถพลิกเป็นกำไรสุทธิได้บางๆ หนุนจากค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว, โอกาสบันทึกกำไรสต็อกน้ำมัน, ขาดทุน FX ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (หรืออาจเป็นกำไร FX) เนื่องจากนับจากต้นไตรมาส 3/66 ถึงปัจจุบัน เงินบาทพลิกเป็นแข็งค่า,


ขณะที่กระบวนการผลิตโอเลฟินส์ได้ปัจจัยบวกจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซ (อัตรากำไรสูงกว่า Naphtha) เพิ่มขึ้นจาก 35% ในไตรมาส 2/66 เป็นราว 40% ในช่วงครึ่งหลังปี 66 และ 50% ในปี 2567 ตามแผนเร่งผลิตก๊าซในอ่าวไทย โดยเฉพาะแหล่งเอราวัณ


อย่างไรก็ตามผลประกอบการครึ่งปีแรก 66 ขาดทุนสุทธิ 5.5 พันล้านบาท แย่กว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า ประกอบกับ มุมมองการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีช่วงที่เหลือของปีอาจล่าช้ากว่าคาด สาเหตุหลักมาจากภาวะ เศรษฐกิจจีนที่น่าผิดหวังแม้จะเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นปี จากเหตุผลข้างต้น ปรับสมมติฐาน Margin และอัตราการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมีปี 2566 – 2567 ลง 


อีกทั้งรวมผลกระทบจาก ขาดทุนสต็อกน้ำมันในช่วงครึ่งแรกปี 66 เข้ามาไว้ในประมาณการ ส่งผลให้คาดการณ์ปี 2566 จะเป็นขาดทุนสุทธิ 4.7 พันล้านบาท และปี 2567 จะมีกำไรสุทธิ 6.7 พันล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย  47.00 บาท โดยปัจจุบันมูลค่าหุ้นไม่แพง 


IRPC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า แนวโน้มไตรมาส 3/66 คาดผลประกอบการฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากขาดทุนสูงในไตรมาส 2/66 และไตรมาส 3/65


ทั้งนี้ปัจจัยหนุนหลักมาจากธุรกิจการกลั่นที่นับจากต้นไตรมาส 3/66 ถึงปัจจุบัน ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดจากการหยุดชะงักของโรงกลั่นหลายแห่ง (แผนปิดซ่อมบำรุง และผลกระทบจาก Heat Wave) และมีโอกาสบันทึกกำไรสต็อกน้ำมันจำนวนมาก


อย่างไรก็ตามผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 66 ขาดทุนสุทธิสูง 1.9 พันล้านบาท ขณะที่การฟื้นตัวครึ่งหลังปี 66 ยังไม่ชัดเจน คงประมาณการขาดทุนสุทธิปี 2566 ที่ 761 ล้านบาท แนะนำเพียง TRADING คงราคาเหมาะสม 2.70 บาท  ด้วยการเก็งกำไรแบบ Laggard Play เพราะมองว่าหุ้นโรงกลั่นอื่นจะมีการฟื้นตัวที่น่าสนใจมากกว่า รวมทั้งคาดไม่มีเงินปันผลระหว่างกาลเหมือนคู่แข่งรายอื่น


BCP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า คงคําแนะนํา "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท โดยภาพรวมครึ่งหลังปี 66 ยังแข็งแกร่งจากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัว การขยายตัวของธุรกิจโรงไฟฟ้า ด้วยดีลซื้อกิจการใหม่ในสหรัฐฯ และส่วนแบ่งธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่ปรับดีขึ้นจากยอดขายที่สูงขึ้น 


โดยเล็งเห็นการเติบโตของกําไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3/66 หนุนจากธุรกิจโรงกลั่นและ upside จากการซื้อ ESSO (upside 5.0-8.0 บาท/หุ้น) ที่จะกลายมาเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นได้ โดยคาดปี 66 มีกำไรสุทธิ 7,655 ล้านบาท ลดลง 39% จากปีก่อน


ESSO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า คาดว่าผลประกอบการของ ESSO จะกลับมาฟื้นตัวอย่างมากในไตรมาส 3/2566 จากการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องของ GRM และผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่พลิกเป็นกำไร ในเชิงนับจากต้นไตรมาสถึงปัจจุบัน Singapore GRM เพิ่มขึ้น 93% จากไตรมาสก่อน เป็น 7.7 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล โดยค่าเฉลี่ยในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 9.5 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล 


ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล จากราคาเฉลี่ยที่ 76 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในเดือน มิ.ย.2566 แสดงให้เห็นว่าอาจมีกำไรจากสต็อก 50-60 ล้านดอลลาร์ฯ ในไตรมาส 3/2566 ดังนั้นจึงคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้ที่ 5.2 พันล้านบาท ลดลง 44% จากปีก่อน ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 10.30 บาท


ปิดท้ายกันที่ SPRC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท โดยแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นยังเป็นไปตามที่คาด เชื่อว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) จะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 3/66


นอกจากนี้ บริษัทเชื่อว่าปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่น (refinery intake) จะสูงขึ้นในครึ่งปีหลัง 66 สอดคล้องกับ crack spread ที่ดีขึ้นและอุปสงค์ที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล อีกทั้ง ค่าใช้จ่าย ship-to-ship ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงในไตรมาส 3/66 แม้ว่าบริษัทยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอนว่าจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) จะกลับมาดำเนินงานได้เมื่อไร


ทั้งนี้คงประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ที่ 2.7 พันล้านบาท ลดลง 65% จากปีก่อน หลักๆจากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ลดลงตามแนวโน้ม crack spread ที่ปรับสู่ระดับปกติมากขึ้น อย่างไรก็ดี ประเมินว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัว 35% ได้ในปี 67 เนื่องจาก refinery intake ที่ดีขึ้นและพรีเมียมน้ำมันดิบ (crude premium) ที่ลดลง และเชื่อว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัวได้ในครึ่งหลังของปี 66 หนุนด้วย crack spread ที่สูงขึ้นและการรับรู้กำไรจากสต๊อก (stock gain) ที่เป็นไปได้

 

 


พายุ