‘การค้าโลก’ ไม่เหมือนเดิมไทยยังไงก็ต้องปรับตัว
หลังวันพรุ่งนี้(7 ส.ค.) อัตราภาษีสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐจะเจอภาษีสูงขึ้นเป็น 19% แม้เป็นตัวเลขที่ดีขึ้นกว่าเดิมที่ 36% แต่ก็เป็นอัตราที่สูง อย่างที่ผู้ส่งออกไทยยุคปัจจุบันไม่เคยเผชิญมาก่อน
“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ที่เป็นแกนหลักเจรจา “ภาษีทรัมป์” ย้ำว่า อัตราภาษีที่ไทยได้รับสะท้อนมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับสหรัฐ เป็นระดับที่ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคได้ และยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจได้ด้วย
อย่างไรก็ตามอัตราภาษีที่ 19% แม้จะเป็น “ข่าวดี” (ที่ไม่โดนเก็บถึง 36%) แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว โดย “ปิติ ตัณฑเกษม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต แสดงความเห็นอย่างหนักแน่นว่า หากธุรกิจไทยพอใจกับดีลนี้ และคิดว่านี่คือชัยชนะอาจเป็น “The Beginning of the End” แปลตรงตัวก็คือ “จุดเริ่มต้นของจุดจบ” ในทางตรงกันข้าม “ปิติ” ย้ำว่า หากเรามองว่านี่ คือ “สัญญาณ” ให้ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ก็จะเป็น “The New Beginning of Opportunity” แปลตรงตัวอีกครั้งก็คือ การเริ่มต้นของโอกาสใหม่
ซีอีโอ ของ ทีเอ็มบีธนชาต ย้ำด้วยว่า โลกกำลังเปลี่ยนจาก “การค้าเสรี” ไปสู่ “การค้าแบบมีเงื่อนไข” ที่บังคับให้แยกชัดถึงประเทศต้นทางของสินค้า แหล่งที่มาของชิ้นส่วน ตลอดจนสัดส่วนของ Local Content และการพึ่งพาจีน ซึ่งเป็นการพลิกโฉมกติกาโลกที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้า พร้อมกันนี้ยังได้ยกโค้ดคำพูดของ “เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์” ที่เคยเตือนไม่ให้รีบดีใจกับชัยชนะในสมรภูมิแรกๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะการต่อสู้ยังมียาวไกล โดย “วินสตัน เชอร์ชิลล์” เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร และยังเป็นรัฐบุรุษ นักเขียน นักพูด และผู้นำผู้สร้างแรงบันดาลใจ ผู้ซึ่งนำพาสหราชอาณาจักรสู่ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองด้วย
สำหรับความท้าทายใหม่ที่ “ไทย” ต้องเผชิญหลังสหรัฐเรียกเก็บภาษีเพิ่มเป็น 19% คือ โครงสร้างต้นทุนที่สูงขึ้น รวมไปถึงความจำเป็นในการเร่งสร้างฐานการผลิตในประเทศสำหรับสินค้าเทคโนโลยีสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากการมี Import Content สูง นอกจากนี้หากเป็นสินค้าที่เข้าข่ายไม่ได้ผลิตในประเทศแต่ส่งผ่านหรือมี Local Content น้อย ไทยจะเจอภาษีในอัตราที่สูงถึง 40% ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลเชื่อว่า ภายในหนึ่งปีสินค้าประเภทนี้จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยสรุปแล้วแม้ดีลภาษี 19% จะนำมาซึ่งความโล่งใจในเบื้องต้น และช่วยพยุงไม่ให้ภาคส่งออกหดตัวรุนแรงทั้งยังอาจช่วยเศรษฐกิจไทยรอดพ้นภาวะถดถอยทางเทคนิคได้ แต่ก็เป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญ ซึ่งเราเข้าใจว่ารัฐบาลเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี สะท้อนผ่านการเตรียมมาตรการรองรับทั้งการจัดงบประมาณ การดันซอฟต์โลน เงินอุดหนุน มาตรการภาษีต่างๆ รวมไปถึงการปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็นเพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวและก้าวสู่โลกเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นใจ แต่ทั้งหมดนี้จะเพียงพอหรือไม่เชื่อว่ายังคงต้องถกกันอีกยาว!
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1193013