“เงินเฟ้อต่ำ”สัญญาณเตือน “เศรษฐกิจไทย” ชะลอ โจทย์ใหญ่รัฐต้องเร่งพาประเทศเลี่ยงเงินฝืด
- อัตราเงินเฟ้อไทยติดลบต่อเนื่อง 7 เดือน โดยมีสาเหตุหลักจากมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลง
- กระทรวงพาณิชย์ชี้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเพียง "ภาวะเงินเฟ้อระดับต่ำต่อเนื่อง" ยังไม่เข้าสู่ "ภาวะเงินฝืด" เพราะเกิดจากปัจจัยด้านต้นทุน ไม่ใช่การหดตัวของอุปสงค์
- ภาวะเงินเฟ้อต่ำถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว เนื่องจากอาจนำไปสู่วงจร "ราคาลด-รายได้ลด-การใช้จ่ายลด"
- บทวิเคราะห์เสนอให้ภาครัฐใช้สถานการณ์เงินเฟ้อต่ำเป็นโอกาสในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลเสถียรภาพราคาเพื่อเลี่ยงภาวะเงินฝืดในอนาคต
อัตราเงินเฟ้อของไทย ติดลบมาต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยเดือนต.ค.ติดลบ 0.76 % นับจากเดือน เม.ย.2568 ที่ลดลง 0.22% พ.ค.2568 ลดลง 0.57% มิ.ย.2568 ลดลง 0.25% ก.ค.2568 ลดลง 0.70% ส.ค.2568 ลดลง 0.79% และ ก.ย.2568 ลดลง 0.72%
ปัจจัยหลักมาจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาลผ่านโครงการ Quick Big Win และราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง นอกจากนี้ ราคาอาหารสดบางรายการ เช่น ผักสด ผลไม้สด และเนื้อสัตว์ ก็มีแนวโน้มลดลงด้วย
โดยการลดลงต่อเนื่องของเงินเฟ้อที่ติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ 7 ทำให้ถูกตั้งคำถามว่า ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้วหรือไม่ ? สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า “ภาวะเงินเฟ้อต่ำในปัจจุบันยังไม่ใช่เงินฝืด (Deflation)” เนื่องจากแรงกดดันราคาที่ลดลงมาจากต้นทุนพลังงานและอาหาร มากกว่าการหดตัวของอุปสงค์ แต่สถานการณ์ที่ “ราคาลด–รายได้ลด–การใช้จ่ายลด” กำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่
โดยมีเหตุผลประกอบด้วย 1.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับตัวลดลง
ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่กลุ่มประเทศ OPEC+ เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เมื่อประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันนำเข้าของไทยลดลงในเชิงมูลค่า ส่งผลให้แรงกดดันจากเงินเฟ้อนำเข้า (imported inflation) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผ่านผลโดยตรงต่อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ผ่านต้นทุนที่ต่ำลง เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีน้ำหนักราว 7.6 % ของตะกร้าเงินเฟ้อ
2 .ราคาสินค้าเกษตรลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น หมวดผักและผลไม้ ซึ่งมีน้ำหนักรวมประมาณร้อยละ 4.8 ของตะกร้า CPI เป็นหมวดที่อ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ และฤดูกาลผลิต ปี 2568 ถือเป็นปีที่ปัจจัยด้านอุปทานเอื้ออำนวยต่อผลผลิตอย่างชัดเจน ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาผักและผลไม้สดหลายชนิดปรับลดลง และช่วยชะลอแรงกดดันด้านราคาในหมวดอาหารสดโดยรวม
3.มาตรการภาครัฐลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมีปัญหาเชิงโครงสร้าง รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาภาระของประชาชนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้าผ่านกลไก “ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ” (Fuel Adjustment Charge : Ft) ซึ่งส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ผ่านสองช่องทางสำคัญ ได้แก่ ผลโดยตรง เนื่องจากค่าไฟฟ้ามีน้ำหนักประมาณ 4.0 % ของตะกร้าเงินเฟ้อ การลดค่าไฟฟ้าจึงลดแรงกดดันเงินเฟ้อในหมวดพลังงานโดยตรง และ ผลทางอ้อม การลดต้นทุนพลังงานช่วยลดต้นทุนการผลิตของภาคเอกชน ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่น ๆ ชะลอตัวตามไปด้วย
จากทั้งสามปัจจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่าการชะลอตัวของเงินเฟ้อไทยในระยะหลังไม่ได้สะท้อนการหดตัวของอุปสงค์อย่างแท้จริง หากแต่เกิดจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ลดลงจากปัจจัยภายนอก และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐหากแต่เกิดจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ลดลงจากปัจจัยภายนอก และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ
“ภาวะปัจจุบันเป็นเพียง “ช่วงเวลาของเงินเฟ้อ ระดับต่ำ ต่อเนื่อง (Sustained Low Inflation)” มากกว่าการเข้าสู่ “ภาวะเงินฝืด (Deflation)” ในเชิง อุปสงค์”
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการไหลเข้าของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าลดลง สินค้านำเข้ามีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะหมวดของใช้ส่วนบุคคลและเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดภายในประเทศรุนแรงขึ้นจนผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ เป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยกดระดับราคาสินค้าให้อยู่ในระดับต่ำ
บทวิเคราะห์สนค.ยังระบุว่า ภาพรวมทั้งหมดชี้ชัดว่า “เงินเฟ้อต่ำ...แต่ไม่ใช่เงินฝืด” โดยแรงหลักมาจากฝั่งต้นทุนและนโยบายพลังงานมากกว่าการหดตัวของอุปสงค์ฝ่ายเดียว ราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง ประกอบกับการแข่งขันทางการค้าที่ยังรุนแรง ทำให้ระดับราคาทั่วไปทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างไม่ทั่วถึง และยังถูกกดทับด้วยโครงสร้างสังคมผู้สูงอายุและหนี้ครัวเรือนในระดับสูงถึง 87.4 % ของ GDP
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ที่ตัดหมวดอาหารสดและพลังงานยังคงเป็นบวก สะท้อนว่าราคาสินค้าและบริการในภาพรวมยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดในเชิงระบบทั้งนี้ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ทำหน้าที่เป็นมาตรการการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจโดย ไม่เร่งเงินเฟ้อช่วยพยุงการบริโภคและความเชื่อมั่นได้อย่างเหมาะสม
บทวิเคราะห์ยังมีข้อเสนอว่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำควรถูกใช้เป็น “โอกาสเชิงนโยบาย” เพื่อขับเคลื่อนมาตรการด้านอุปทาน ทั้งการผลักดันโครงการสินค้าราคาย่อมเยา กลไกราคาที่เป็นธรรม และการดูแลบริการอ่อนไหวควบคู่กับวินัยทางการคลัง รวมถึงการสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านพลังงาน เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “เสถียรภาพด้านราคา” และ“การเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว” ของประเทศไทย
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1207685